กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5653)

เถรี 13-06-2017 21:00

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๐
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติหรือความรู้สึกของเราไว้กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ วันนี้จะกล่าวถึงเรื่องของการปฏิบัติภาวนาของเรา ว่าการที่เราตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรานั้น เท่าที่สังเกตดู พวกเราแบ่งออกเป็น ๒ พวก พวกที่ ๑ ก็คือ ไม่สามารถที่จะรักษากำลังใจให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ บางท่านถึงเวลาภาวนา สามารถอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ตามเวลา แต่พอเลิกภาวนาก็ทิ้งไปเลย

ส่วนอีกพวกหนึ่งสามารถอยู่กับลมหายใจเข้าออกของตัวเองได้ แต่ก็ไปติดอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกนั้น เพราะว่าเป็นสภาพจิตที่ว่างจากกิเลสชั่วคราว มีความสุขเยือกเย็น รู้สึกสบาย ก็ไม่คิดที่จะทำอะไรให้มากไปกว่านั้น

ซึ่งทั้ง ๒ แบบนั้นล้วนแล้วแต่ใช้ไม่ได้ แต่สำหรับท่านที่เข้าถึงได้ก็ยังดี เพราะว่ามีสภาพจิตที่สงบระงับจากกิเลสได้ชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิ แต่เป็นเพราะว่าท่านทั้งหลายไม่เห็นคุณค่าของสมาธิที่จะใช้ระงับยับยั้ง รัก โลภ โกรธ หลง และใช้ในการตัดรากเหง้าของกิเลสทั้งหมด กลายเป็นว่าท่านที่ทำได้ไม่เห็นคุณค่าก็ปล่อยทิ้ง ทำให้ตัวเองต้องฟุ้งซ่านอยู่เหมือนเดิม แล้วก็มาเครียด มากลุ้มใจกับสารพัดอารมณ์ ที่ประเดประดังเข้ามาทำลายทำร้ายชีวิตของเรา

อีกพวกหนึ่งก็มัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับความสุขสงบชั่วคราวจากกำลังสมาธิที่ระงับกิเลสได้ ก็เลยลืมในการที่จะขุดรากถอนโคนกิเลสให้หมดไปจากใจของตนเอง

เถรี 14-06-2017 20:52

ในการที่เราปฏิบัติภาวนาตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรานั้น ถ้าหากว่ากำลังใจของเราเริ่มทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ก็ควรที่จะใช้กำลังของฌานนั้นให้เป็นประโยชน์แก่เราให้มากที่สุด

อันดับแรกก็คือ ระงับยับยั้งไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นได้ อันดับที่ ๒ ก็คือ พยายามใช้กำลังที่เราทำได้ ในการตัด ในการละกิเลสต่าง ๆ ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บางท่านถึงเห็นประโยชน์ก็ยังทำไม่ถูก อย่างเช่นว่า นั่งภาวนาครึ่งชั่วโมง รักษากำลังใจเอาไว้ได้ แต่พอเริ่มไปพักก็ทิ้งอารมณ์การภาวนาไปเลย สภาพจิตซึ่งมีการไหลลงที่ต่ำเป็นปกติ ก็จะวิ่งไปหา รัก โลภ โกรธ หลง ตามความพอใจของตน

สิ่งที่ควรทำก็คือ เมื่อภาวนาจนกำลังใจทรงตัวดีแล้ว ก็ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจนั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด แรก ๆ ก็ได้แค่ ๑ ถึง ๒ นาทีก็พังไปแล้ว แต่ถ้าเราพยายามหมั่นทำหมั่นรักษาบ่อย ๆ ระยะเวลาก็จะได้นานขึ้นเป็น ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง เป็นต้น

เมื่อรู้จักระมัดระวังประคับประคองรักษา ก็ยิ่งได้นานขึ้นเรื่อย ๆ เป็นครึ่งวัน เป็น ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน ๑๕ วัน เป็นเดือน ระยะเวลาที่สภาพจิตเราทรงสมาธิต่อเนื่องกัน กิเลสกินใจไม่ได้ ความผ่องใสของใจมีมาก เมื่อมาใช้ปัญญาพิจารณาก็จะเห็นว่า ในส่วนของสภาพร่างกายเรานั้น มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นปกติ หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ระหว่างดำรงชีวิตอยู่ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลงไป มีแต่ความทุกข์อยู่เสมอ

ท้ายที่สุดร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี ต่างก็เสื่อมสลายตายพัง กลับคืนเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายได้

เถรี 15-06-2017 17:16

เมื่อสภาพจิตสงบ ก็ให้พยายามยกวิปัสสนาญาณขึ้นมาพิจารณา ทำอย่างนี้บ่อย ๆ ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเบื่อไม่ได้ จะหน่ายไม่ได้ จนกว่าสภาพจิตของเราจะยอมรับจริง ๆ ว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา

เมื่อยอมรับสภาพจิตก็จะปล่อยวาง ไม่ไปยึดถือในร่างกายนี้ ก็จะไม่ไปยึดถือร่างกายของคนอื่น ไม่ไปยึดถือร่างกายของสัตว์อื่น ไม่ไปยึดถือวัตถุธาตุต่าง ๆ สิ่งที่จะร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสารก็หมดสิ้นไป เราก็สามารถที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายเมื่อปฏิบัติภาวนาไปแล้ว จงพยายามที่จะรักษาประคับประคองอารมณ์ใจของตนเอาไว้ แล้วก็ใช้กำลังสมาธินั้นในการพิจารณาวิปัสสนาญาณของเรา จนกระทั่งสภาพจิตสามารถปล่อยวาง หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงอย่างที่เราต้องการ

ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว