กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5408)

เถรี 13-02-2017 20:10

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๐ สิ่งที่อยากจะบอกพวกเราในวันนี้ คือ ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการที่เราต่อต้านกับอำนาจของกิเลส การที่เราตกเป็นทาสของกิเลสมาชาติแล้วชาติเล่าจนนับชาติไม่ถ้วน ต่อสู้กับกิเลสเมื่อไรเราก็พ่ายแพ้ แต่ถ้าเราท้อถอยไม่คิดที่จะต่อสู้ดิ้นรนอีก ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

เพราะว่าการที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัตินั้น แปลว่าศักยภาพของเราเพียงพอที่จะต่อสู้กับกิเลสได้ แต่การที่พวกเราสู้กับกิเลสเมื่อไรก็แพ้ ทำให้บางคนหมดกำลังใจ จึงอยากจะให้เปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ว่า

จริง ๆ แล้วเรื่องของกิเลสคือ รัก โลภ โกรธ หลง นั้นมีประโยชน์มาก ไม่ว่าจะอำนาจรัก โลภ โกรธ หลง ที่ชักจูงเรามาชาติแล้วชาติเล่า ทำให้เราต้องพ่ายแพ้นับครั้งไม่ถ้วนนั้น ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเกิดมากี่ชาติก็ตาม เราก็โดนกิเลสครอบงำเช่นนี้ ชักจูงเช่นนี้ ทำร้ายและทำลายความดีของเราเช่นนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้เราควรที่จะเบื่อหน่ายได้หรือยัง ? เพราะไม่ว่าจะเกิดกี่ชาติก็ตาม เราก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสอยู่ร่ำไป ตกอยู่ในกองทุกข์อยู่ร่ำไป

เถรี 13-02-2017 20:11

เมื่อมองในแง่มุมนี้ เรากลับจะได้มีกำลังใจว่า แท้จริงแล้วกิเลสต่างหากที่ส่งเสริมให้เราอยากจะพ้นทุกข์ เนื่องจากว่าตกเป็นทาสของกิเลสมาเนิ่นนานจนน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน เกิดกี่ชาติก็ตกเป็นทาสของกิเลสเช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราควรที่จะเบื่อหน่ายและหลีกหนีมันไปได้หรือยัง ?

ถ้าหากว่ามองในแง่อย่างนี้ เราก็จะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วกิเลสนั้นมีคุณค่า แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจก็ตาม เปรียบเหมือนกับอุจจาระปัสสาวะ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ถ้าเรานำมาทำเป็นปุ๋ย ก็สามารถที่จะเพาะต้นไม้ให้งอกงามได้ หรือว่านำมาหมักเป็นแก๊สชีวภาพ ก็สามารถที่จะนำมาใช้งานในครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพได้

เรื่องของกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ที่จูงจมูกเรามาชาติแล้วชาติเล่า ก็จะทำให้เรารู้จักเข็ด รู้จักเบื่อ สมควรที่จะดิ้นรนหลีกหนีได้แล้ว เมื่อเราคิดในแง่มุมนี้ เราจะเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้ฟันฝ่ากับกิเลสต่อไป แต่ว่าการต่อสู้นั้นเราก็ต้องรู้ว่าเราสู้กับใคร สู้ด้วยวิธีใด เรียกว่า รู้เขารู้เรา จึงสามารถที่จะรบชนะข้าศึกได้

เถรี 15-02-2017 18:32

การที่จะสู้กับกิเลสนั้น ในเบื้องต้นเราต้องมีศีลเป็นเกราะ มีศีลเป็นเครื่องกำบัง มีศีลเป็นเครื่องป้องกัน ก็คือ เราต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เมื่อเราระมัดระวังรักษาไม่ให้ศีลของเราขาดตกบกพร่อง สติที่เราทุ่มเทลงไปก็จะสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นกับเรา เราก็แค่กำหนดลมหายใจเข้าออกเพิ่มเติม เพื่อให้สติอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันเฉพาะหน้า ไม่ไปในอดีต ไม่ไปในอนาคต ไม่ฟุ้งซ่านจนกระทั่ง รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น

เมื่อสมาธิเริ่มทรงตัวตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป อำนาจของสมาธิก็จะกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงได้ชั่วคราว ความสุขกายสบายใจจะเกิดขึ้นแก่เรา เราก็พิจารณาต่อไปว่า นี่แค่อำนาจของโลกียฌาน แค่ปฐมฌานเท่านั้น ยังทำให้เรามีความสุขกายสบายใจจนขนาดนี้ อำนาจของฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ย่อมทำให้เราสงบสงัดจากกิเลสได้แน่นอนยิ่งขึ้น ทำให้เรามีความสุขกายสบายใจยิ่งขึ้นไปอีกตั้งเท่าไร ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อารมณ์ของบุคคลที่ทรงโลกียฌาน อย่างเช่นเรายังมีความสุขได้ขนาดนี้ บุคคลที่ทรงความเป็นพระโสดาบันจะมีความสุขขนาดไหน ? เพราะว่าพระโสดาบันนั้นสามารถปิดอบายภูมิได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่ไปเกิดในเขตของ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานอีกแล้ว ปลอดภัยในวัฏสงสารไปเกินครึ่งแล้ว ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?

พระสกทาคามีที่ชำระจิตใจให้ รัก โลภ โกรธ หลง เจือจางบางเบาลงจริง ๆ แล้ว จะยิ่งมีความสุขขึ้นไปเท่าไร ? พระอนาคามีที่ไม่ต้องลงมาเกิดอีกแล้ว สามารถปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นที่เบื้องบนเลย จะมีความสุขยิ่งยิ่งขึ้นอีกเท่าไร ? ส่วนพระอรหันต์ที่ชำระกิเลสจนหมดจดไม่มีหลงเหลือ มีสภาพของจิตผ่องใส รัก โลภ โกรธ หลง ไม่สามารถจะก่อเกิดได้ ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาทำให้จิตใจของท่านเศร้าหมองได้อีกแล้ว ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?

เถรี 15-02-2017 18:33

เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว เราจะเห็นชัดว่าคุณของพระรัตนตรัยเป็นอย่างไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นจอมอรหันต์ทั้งหมด พระองค์ท่านจะยิ่งมีความสุขขนาดไหน ? เราก็จะเกิดความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกิน ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ

เราแค่เพิ่มเติมปัญญาลงไปว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา เกิดมาเมื่อไรก็ต้องตายเช่นนี้ แต่ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาประสบกับความทุกข์ยากลำบาก เกิดมาบนกองกิเลสที่แผดเผาเราอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน ซึ่งสงบ ดับ เย็นจากกิเลสทั้งปวง

เมื่อทำกำลังใจเช่นนี้แล้ว เราก็เอาจิตของเราเกาะในพระนิพพาน หรือเกาะภาพพระของเราไว้ ประคับประคองรักษาอารมณ์เช่นนี้ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ลำดับต่อไปขอให้ท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:02


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว