เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์กล่าวถึงคนที่ไว้ผมปิดหน้าปิดตาว่า "ถ้าใครไปหาหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า (หลวงพ่อพระมงคลไชยสิทธิ์) แล้วไว้ผมปิดหน้าปิดตา ท่านจะด่าตรงนั้นเลย ท่านบอกว่าเป็นคนแท้ ๆ แต่ปิดหน้าปิดตาเป็นสัตว์ไปได้ สัตว์มันตัดผมไม่เป็น..!
โดยเฉพาะตำราจีน เขาถือว่าหน้าผากเป็นทางชีวิต ถ้าทางชีวิตโดนปิดบัง ทำอะไรก็ไม่สะดวก ดังนั้น..เราจะเห็นรูปคนจีนสมัยก่อน โดยเฉพาะผู้หญิง เขาจะถอนผมบริเวณหน้าผากจนโล่งไปเลย" |
ถาม : ช่วงนี้พอเบื่อมาก ๆ แล้ว ถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่าขี้เกียจเบื่อ ก็เลิกเกาะ พอปล่อยแล้วก็โล่ง พอใช้ชีวิตไปสักพักก็จะมาเบื่อใหม่
ตอบ : เพราะนั่นไม่ใช่การใช้ปัญญาปล่อยวางก้าวข้ามจริง ๆ ในส่วนที่จะเป็นปัญญาปล่อยวางจริง ๆ จะเห็นว่า ธรรมดาของทุกอย่างเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น..เราไปหาคำว่าธรรมดาให้เจอ ธรรมดาของเขาเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาก็ต้องเจออย่างนี้ ถ้าเกิดอีกก็จะเป็นอย่างนี้อีก ถ้าเราเห็นคำว่าธรรมดาต่อไปก็จะสบาย ถาม : ถ้าเกิดอยู่ดี ๆ ก็ว่างขึ้นมา ก็ให้ดึงเข้ามาเบื่อใหม่ ? ตอบ : ตอนแรก ๆ อย่าให้ความเบื่อนี้หายไป ถ้าหายไปกว่าจะได้ใหม่ก็อีกนาน อันดับที่สอง ก็คือ มองให้ลงตัวธรรมดาให้ได้ ถ้าเห็นธรรมดาแล้วกำลังใจยอมรับ ก็จะปล่อยวางไปเอง ถาม : แต่ก็ไปเองนะคะ ไม่ได้นึกอยากจะเลิกเบื่อ เหมือนกับว่าเต็มที่แล้ว ไม่ยอมต่อแล้ว ก็ปล่อยเลย ตอบ : นั่นแหละ..เพราะเราไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้ปล่อยวางได้ กลายเป็นว่าพอถึงเวลาแล้วกำลังก็ตกลงมา หรือไม่ก็มีบางส่วนที่เราก้าวข้ามไปได้ แต่ยังไม่ใช่การปล่อยวางที่แท้จริง ก็จะรู้สึกเบาลงมาหน่อย แล้วเดี๋ยวก็จะวนกลับไปพายเรือในอ่างใหม่อีก |
ถาม : หนูกำลังหาหนี้ใส่ตัวด้วยการซื้อบ้าน เห็นว่าปีหน้าน้ำจะท่วม เลยชะลอการซื้อไปก่อน
ตอบ : ไปซื้อที่ไหน ? ถาม : ซื้อแถวประชาชื่น แต่แถวนั้นไม่เคยน้ำท่วม ตอบ : จะช้าจะเร็วน้ำก็ท่วมกรุงเทพฯ เพราะปัจจุบันนี้กรุงเทพฯ ก็ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้เขาป้องกันดีอยู่ เนื่องจากเป็นเมืองหลวง ถาม : ห้ามซื้อในกรุงเทพฯ ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ถ้าจะซื้อ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องสองชั้นขึ้นไป จะได้มีหลังคาเผื่อให้ตะกายหนีน้ำได้บ้าง..! |
ถาม : การทำบุญทุกอย่างเป็นจาคะหรือไม่คะ ?
ตอบ : เป็นจาคานุสติและเป็นทานบารมีด้วย |
ถาม : เวลาเราทำสมาธิ ทำอย่างไรจะขึ้นไปถึงฌานแบบละเอียดได้ ?
ตอบ : อย่าอยาก ถ้าอยากจะไม่ได้ กำลังฌานทุกระดับต้องมีตัวอุเบกขาอยู่ ก็คือตัวเอกัคตารมณ์ ถ้าไม่มีตัวอุเบกขาจะก้าวไปไม่ถึง ความอยากไม่ใช่อุเบกขา ถ้าหมดอยากเป็นอุเบกขาเมื่อไรก็จะไปเอง เพราะฉะนั้น..แค่หมดอยากก็จะง่ายขึ้น ถาม : หรือหนูเข้าวิปัสสนาเร็วไปหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ตกลงว่า ที่ตอบไปนี่ไม่ได้ฟังใช่ไหม ? ถาม : แล้วอารมณ์ที่ปฏิบัติไปยังมีติด ? ตอบ : นักปฏิบัติทุกท่านมีอุปสรรคอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าให้ใช้ความพยายาม ขณะเดียวกันก็พยายามในส่วนของศีล สมาธิและปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งดี จะหนุนให้อีกอย่างดีขึ้นไปด้วย ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ถ้าทุกอย่างพร้อม สิ่งที่ควรจะก้าวข้ามก็จะข้ามได้ สิ่งที่ควรจะสำเร็จก็สำเร็จ ถ้าทำไปถึงระดับจริง ๆ ญาณเครื่องรู้จะปรากฏขึ้น จะบอกเองว่าเราทำอะไร ไปถึงไหนแล้ว ถาม : ตอนนี้ที่เป็นนั้นจริงหรือเปล่า ? ตอบ : จริงหรือไม่จริงก็อย่าเชื่อ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามกติกาต่อไป เพราะถ้าเราเชื่อว่าจริงและเป็นไปตามนั้นก็เสมอตัว แต่ถ้าไม่จริงและไม่เป็นไปตามนั้น แล้วเราไม่พยายามปฏิบัติต่อก็จะเสียประโยชน์ไป ถาม : การปฏิบัติของหนูในช่วงนี้ควร..? ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ แล้วจะหมดปัญหา ถ้ามัวแต่ถามอยู่จะมีปัญหาไม่รู้จบ..! |
ถาม : หนูขยายพื้นที่ด้านหลังบ้าน มีศาลร้างอยู่ ก็เลยต้องรื้อออก เราต้องสร้างศาลใหม่หรือไม่คะ เพราะที่เดิมมีศาลพระภูมิอยู่แล้ว ?
ตอบ : ถ้ามีศาลอยู่แล้วก็ไม่ต้องสร้างใหม่ แต่ก่อนรื้อต้องจุดธูปบอกกล่าวท่านก่อน ถาม : ทิศของศาลพระภูมิมีผลต่อผู้อาศัยกี่เปอร์เซ็นต์คะ ? ตอบ : ถ้าเป็นทิศของตัวบ้านจะร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ถ้าเป็นทิศหน้าศาลแทบจะไม่มีเลย ยกเว้นว่าบูชาสะดวกหรือไม่สะดวกเท่านั้น |
ถาม : จุดชี่กงอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : ชี่กงเป็นพลังในร่างกาย ไม่ใช่จุด ถาม : แล้วที่เขาบอกว่า รวมพลังลมปราณไว้ที่จุดชี่กง ? ตอบ : ไม่ใช่จุดชี่กง แต่เป็นจุดชี่ไห่ ชี่ไห่แปลว่าทะเลลมปราณ ถาม : ลมปราณหน้าตาเป็นอย่างไรครับ ? ตอบ : เป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมาในร่างกาย โดยปราศจากรูปร่าง แต่สามารถสัมผัสได้ จัดเป็นรูปในนาม ถาม : เป็นธาตุลมไหมคะ ? ตอบ : เป็นธาตุลม ถาม : ถ้าจะฝึกวิชาทารกบริสุทธิ์ ? ตอบ : วิชาทารกบริสุทธิ์ต้องฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ ถาม : ถ้าภาวนาโสตัตตะภิญญา ถือว่าเป็นกำลังภายใน ? ตอบ : ไม่ใช่ อภิญญาเป็นกำลังใจ กำลังสมาธิ แต่กำลังภายในเป็นกำลังจากอวัยวะภายใน อวัยวะภายใน ๕ อย่างที่เป็นหลัก ๆ ก็คือ หัวใจ ปอด ตับ ม้าม ไต จะเป็นแหล่งพลังงานที่เขาถือว่าเป็นตัวแทนธาตุ ก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง โดยเฉพาะตับที่เป็นแหล่งพลังงาน เขาถือว่าเป็นธาตุทอง ถาม : ธาตุไม้ละครับ ? ตอบ : ธาตุไม้ไม่มี ธาตุทั้ง ๕ นี้มีทั้งหนุนเสริมกันเองและหักล้างกันเอง อย่างธาตุน้ำจะหนุนเสริมให้เกิดธาตุลม เราจะเห็นว่ามีแหล่งน้ำที่ไหนจะต้องมีลมพัดที่นั่น ธาตุลมจะไปหนุนเสริมธาตุไฟ ถ้าหากว่าลมแรง ไฟก็ลุกใหญ่ ธาตุดินกำเนิดธาตุไม้ เพราะต้นไม้กำเนิดจากดิน เพราะฉะนั้น..ถึงไม่มีธาตุไม้แต่อาศัยธาตุดินทดแทนก็ได้ |
ถาม : เซียนในความหมายของจีน คือ?
ตอบ : เซียนของจีน ส่วนใหญ่หมายถึงบุคคลที่ได้อภิญญา แต่ขณะเดียวกันก็มีพระอริยเจ้าด้วย ถามว่าพระอรหันต์ใช่เซียนหรือไม่..ใช่ แต่เซียนทุกองค์ใช่พระอรหันต์หรือไม่..ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น..คำว่าเซียนส่วนใหญ่ของจีนหมายถึงผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติ ในประวัติของโป๊ยเซียนอ่านแล้วรู้สึกตลกมาก เพราะที่มาที่ไปของบางคน ไม่น่าจะมาอยู่ร่วมกันได้ ในโป๊ยเซียนมีผู้หญิง ๑ คน มีครึ่งชายครึ่งหญิง ๑ คน มีปิศาจค้างคาว ๑ ตัว ที่เหลือเป็นคนทั่วไป ปิศาจค้างคาว ก็คือ อชคราทิเปรต เป็นเปรตในร่างสัตว์ เขาใช้คำอธิบายว่า ดูดกลืนพลังจากดวงจันทร์มาสามพันปี สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ เอากระดาษมาตัดเป็นรูปลา เสกน้ำมนต์พ่นใส่ก็กลายเป็นลาจริง ๆ แต่มักจะขี่ลาโดยการหันหลังให้ เพราะเขาตั้งใจจะสื่อปริศนาธรรมให้คนทั่วไปคิด เกี่ยวกับการทวนกระแสโลก ส่วนครึ่งชายครึ่งหญิงก็คือ น้าไช่ฮั้ว |
พระอาจารย์กล่าวกับผู้ที่มาถามว่าจะปฏิบัติตามหลักอะไรดี ? "พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไตรสิกขา สิ่งที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ อธิศีลสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติศีลให้ยิ่ง อธิจิตตสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติจิตให้ยิ่ง อธิปัญญาสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติโดยปัญญาให้ยิ่ง นี่เป็นหลักสูตรของพระพุทธศาสนา ถ้าอยู่ในกรอบนี้ใช้ได้ทั้งนั้น
โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ต้องบอกลูกศิษย์อยู่แล้ว อธิศีลสิกขา สิกขิตตัพพา อธิจิตตสิกขา สิกขิตตัพพา อธิปัญญาสิกขา สิกขิตตัพพา อัปมาเทนะ สัมปาเทถะ บวชเสร็จเมื่อไร พระอุปัชฌาย์ต้องบอก" |
1 Attachment(s)
พระอาจารย์เล่าให้ัฟังว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นี้ เกิดขึ้นได้เพราะขบวนการก่อการร้ายที่มีหลวงตาวัชรชัยเป็นหัวหน้า ตอนช่วงนั้นหลวงตาวัชรชัยท่านเป็นพระพี่เลี้ยง คอยดูแลพระใหม่ ถ้าอาตมาจำไม่ผิด ตอนนั้นตัวเองได้พรรษาที่ ๒-๓ ส่วนท่านอาจารย์สมปองเพิ่งบวชเข้ามา ปรึกษากันว่าสมัยหลวงพ่อเคยจัดงานนิมนต์พระสุปฏิปันโนให้ลูก ๆ ได้ทำบุญ ในเมื่อพ่อทำตัวอย่างไว้แล้ว พวกเราน่าจะทำกันบ้าง แต่ไหน ๆ ก็จะทำแล้ว เราควรจะหาทุนก้อนหนึ่ง ถวายให้หลวงพ่อเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระท่านบ้าง พอมาคิดพิจารณาดูแล้ว ในเรื่องของการก่อสร้างท่านมีไม่ขาด เพราะพระและเทวดาท่านสงเคราะห์กันเป็นปกติ เราก็ควรที่จะเอาในเรื่องของกองทุนภัตตาหารพระ เพราะวัดท่าซุงขยายใหญ่ไปเรื่อย จำนวนพระเณรจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราหาจำนวนเงินก้อนนี้มาได้ ก็ถวายท่านฝากธนาคารในชื่อกองทุนภัตตาหารพระ พอนานไปดอกผลมีมากก็เบิกเอามาใช้ในการเลี้ยงภัตตาหารพระเณรในงานต่าง ๆ ได้ คิดว่าวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือ สร้างวัตถุมงคลสักรุ่นหนึ่ง แล้วนิมนต์พระสุปฏิปันโนมาพุทธาภิเษกเป็นการเฉพาะ และจะได้กราบขอให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญแก่ลูกหลานหลวงพ่อด้วย ตอนนั้นคิดรายชื่อกันเป็นการใหญ่ว่าจะนิมนต์ใครบ้าง ส่วนในเรื่องวัตถุมงคล หลวงตาก็ปรารภเรื่องที่แม่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เคยบอกว่า พวกเราเป็นหนี้บุญคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้ากันมาก อย่างไรเสียก็ช่วยทำรูปท่านให้ปรากฏขึ้นในโลกนี้เพื่อเป็นที่บูชาให้ได้ จึงตกลงกันว่าจะหล่อองค์ท่านด้วยเงินแท้ จะหล่อทองคำก็ไม่ไหวเพราะหน้าตักท่านใหญ่ประมาณ ๓๐ นิ้ว" |
"พวกเราช่วยกันร่างแบบขึ้นมา เหล่าบรรดามโนมยิทธิตาดีต่างก็มาสุมหัวรวมกัน สรุปว่าหน้าตาท่านเป็นแบบไหน แล้วก็ร่างแบบออกมาเป็นแบบนี้ หลังจากนั้นคณะทำงานก็นำทีมเข้าไปกราบหลวงพ่อ ขออนุญาตสร้างโดยบอกว่าจะทำอะไรกันบ้าง
หลวงพ่อเมตตาอนุมัติและติติงแก้ไขแบบ เพราะพวกเราสร้างท่าน โดยองค์ท่านนั่งและมีรัศมีออกมาเป็นรูปของกลีบบัว หลวงพ่อท่านบอกว่า เอาเป็นลอยองค์ธรรมดา ไม่ต้องมีตรงกลีบบัวนั้นก็ได้ พอประกาศงานได้สองวัน โยมก็ช่วยกันบริจาคเงินและทองเข้ามามากมาย เพราะว่าวัตถุมงคลที่ทำจะมีเหรียญทองคำ เหรียญเงิน เหรียญชุบทอง คนที่เขามีทองก็ถวายทองเข้ามาสร้างเลย โดยขอให้เขาได้คืนไปสักเหรียญหนึ่ง ช่วงประกาศตัวงานสองวันได้เงินเข้ามาสี่แสนกว่าบาท และทองอีกหลายสิบบาท อาตมาก็เห็นว่าความสำเร็จมีแน่ ถ้าทำตามนี้ ราคาวัตถุมงคลตามตัวเลขหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะเหลืออยู่ที่ ๒๔ ล้านบาท วันที่สามหลวงพ่อมีหนังสือสั่งระงับเรื่องเพราะทำให้แตกความสามัคคี ก็คือ มีผู้หวังดีปรารถนาดีไปพูดในลักษณะว่า พวกนี้จะหาเงินใส่กระเป๋าตัวเองกัน" |
"เราจะเห็นว่าหลักการทำงานของหลวงพ่อก็คือ ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ท่านจึงรับโครงการนี้ไปทำแทน ปรากฏว่าการสร้างพระ หลวงพ่อให้ช่างประเสริฐเป็นคนทำ ช่างประเสริฐบอกว่าไม่มีแบบ หลวงพ่อท่านจึงให้ทำแบบพระพุทธรูปทั่วไป แล้วให้ทำสัญลักษณ์ที่ต่างจากพระพุทธรูปธรรมดา
ถ้าใครอยากเห็นว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ารุ่นแรกหน้าตาเป็นอย่างไร ให้ไปดูองค์ใหญ่ที่อยู่หน้าวิหารร้อยเมตร ลักษณะเหมือนพระพุทธรูปแต่เกศด้านหลังจะแยกแฉกออกมาหน่อย ทำให้ดูว่าต่างจากพระพุทธรูปนิดเดียว ดูแทบไม่ออก แต่ในเรื่องมโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านเป็นปรมาจารย์ เรื่องความชัดเจนท่านเหนือกว่าเราจนนับไม่ได้อยู่แล้ว พอมีเวลาท่านก็เลยให้ช่างทำใหม่ ครั้งแรกที่ทำ ก็คือ สร้างขึ้นมาเพื่อให้สมกับเจตนาญาติโยมที่ตั้งใจบริจาคมาเพื่อสร้างพระอย่างเดียว ไม่รับวัตถุมงคล แต่พอระยะเวลาผ่านไป ท่านก็ทำให้เหมือนกับรูปแบบที่ท่านเห็น จึงได้ออกมาเป็นองค์ใหญ่ที่มณฑปหน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร จะว่าไปแล้ว กลายเป็นพวกเราสร้างเรื่องเดือดร้อนให้หลวงพ่อโดยใช่เหตุ หลังจากที่ระยะเวลาผ่านไปแล้ว มานั่งวิเคราะห์กันว่าทำไมเรื่องนี้จึงเกิดเรื่องขึ้นมา สรุปได้ว่า เพราะคณะกรรมการชุดนั้นเป็นพระใหม่เกือบหมด" |
"ในเมื่อเป็นพระใหม่เกือบหมด ก็มีสองอย่าง อย่างแรกมองโลกในแง่ดี พวกนี้ทำไม่สำเร็จหรอก อย่างที่สองของการมองโลกในแง่ร้าย พวกนี้คงจะหาเงินเข้ากระเป๋า
เมื่อมีเรื่องขึ้นมา หลวงพ่อจึงสั่งระงับไป ปัญหาใหญ่เกิดขึ้น ก็คือ พวกเราต้องควักกระเป๋าเพื่อโอนเงินคืน โอนเงินคืนคนที่เขาโอนมาแล้ว คนไหนให้ข้าวของมาก็ต้องไปไล่คืนทีละคน โดยแจ้งเขาว่าโครงการนี้ระงับแล้ว ถ้าจะทำให้ไปถวายกับหลวงพ่อโดยตรง มีหลายคนที่แจ้งความจำนงว่าถวายแล้วไม่รับคืน พวกเราจึงต้องไปถวายหลวงพ่อกันเสียเอง ตอนไปก็ต้องทำตัวลีบ ๆ เข้าไป..กลัวโดนด่า เป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างเดียวว่า รูปพระปัจเจกในลักษณะวัตถุมงคลหลวงพ่อท่านไม่ได้สร้างไว้เลย ที่สร้างไว้ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าขนาดองค์ ๓๐ นิ้วต้นแบบ ซึ่งอาตมาเป็นเจ้าภาพ ถวายให้วัดพุทธไชโยที่หัวหิน ลักษณะเหมือนพระพุทธรูป แต่เกศมีแยกออกมานิดหนึ่ง จะเป็นเปลวรัศมีเส้นเดียวที่แยกออกมาเอง ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้ และองค์หน้าตัก ๔ ศอกที่หน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร หลังจากนั้นก็เป็นองค์ใหญ่ ๘ ศอกที่เห็นนี้ และองค์เล็ก ๓๐ นิ้วที่เอาไว้ให้เขาปิดทอง สร้างแค่นี้เองในยุคนั้น อาตมายังตั้งใจอยู่เหมือนเดิม ไว้มีเวลาจะหล่อด้วยเงินแท้ องค์ประมาณ ๓๐ นิ้ว เพราะที่หลวงตาท่านสร้าง ก็กลายเป็นทองคำ ๙ นิ้วไปเสียได้ ในเมื่อพี่ไม่ทำ น้องก็ทำเสียเอง" |
"จริง ๆ แล้วพระเศียรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นลักษณะเดียวกับพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ปฏิมากรรุ่นหลัง ๆ เขาไปใส่เปลวพระรัศมีให้ ในลักษณะแทนดวงปัญญาอันรุ่งโรจน์ ก็เลยกลายเป็นลักษณะของพระเกศไป
เราจะเห็นว่า ในพระวินัยของพระ ห้ามภิกษุทำจีวรเท่าพระสุคต ถ้าหากจีวรเท่าของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ดี พระนันทะก็ดี และพระมหากัจจายนะก็ดี เวลาที่แยกกันไป คนจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฉะนั้น..เราสามารถสรุปได้เลยว่า ความจริงพระพุทธเจ้าก็มีพระเศียรเหมือนลักษณะของพระภิกษุทั่วไป พระนันทะเป็นลูกพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ ส่วนพระอานนท์เป็นลูกอา ทั้งสองเป็นพุทธอนุชาก็เลยมีหน้าตาเหมือนกับพระพุทธเจ้า ส่วนพระมหากัจจายนะท่านสร้างบารมีมาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งบารมีใกล้จะเต็มแล้ว ก็เลยมีมหาปุริสลักษณะหลายอย่างที่ทำให้คนเห็นว่าเหมือนพระพุทธเจ้า เวลาบิณฑบาต แต่ละองค์ไปช้าเร็วต่างกัน คนก็ตำหนิเอาว่าสมณะรูปนี้มักมากจริง มาแล้วมาอีก พระพุทธเจ้าจึงให้ตัดเย็บจีวรไม่เท่ากัน คนจะได้แยกออก ส่วนพระมหากัจจายนะตัดสินใจเปลี่ยนรูปร่างตัวเองไปเลย" |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ความจริงการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่วัดก็เป็นเรื่องดี เพราะทำให้ได้ถนนมาด้วย ถ้าเขามาตั้งเสาไฟ เขาต้องตั้งเสาด้านที่เราคิดจะขยายถนนพอดี ซึ่งเวลาขยายถนน เราต้องเอาต้นไม้บางส่วนออก เนื่องจากต้นไม้พร้อมที่จะล้มฟาดสายไฟ จึงต้องรื้อต้นไม้เสียตั้งแต่บัดนี้
อย่างแรก ต้องไปตกลงกับบรรดารุกขเทวดาก่อน ตกลงกันว่า ให้ท่านย้ายไปอยู่ที่เสาอาคารตั้งพระชำระหนี้สงฆ์แทน ส่วนทางด้านนี้เราขอรื้อ จะพยายามรื้อให้น้อยที่สุด ต้นไหนที่เว้นได้ก็จะเว้นให้ พอตกลงกันได้ รถแบ็กโฮลก็เริ่มถล่มป่า อาตมาก็ไปเดินดูอยู่ตลอด ช่วงนั้นไม่มีปัญหา พอรุ่งเช้าติดงานบวชพระ เมื่อบวชพระเสร็จ ปรากฏว่าต้นไม้ล้มทับรถไปเรียบร้อยแล้ว คนขับบาดเจ็บเล็กน้อย ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าใช้ตัวบุ้งกี๋ของรถจัดการดันให้ต้นไม้ล้มเหมือนต้นอื่น ๆ แต่ต้นนี้ไม่ล้มไปข้างหน้า กลับหักกลางฟาดตูมลงมาที่รถเลย อาตมาก็สงสัยว่าคุยกับรุกขเทวดาแล้วทำไมถึงยังเป็นอย่างนี้อีก ปรากฏว่าอาตมาลืมไป เขาบอกว่าอาคารสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าสร้างพระแล้วเขาต้องลงมาแบกับดิน เพราะถ้าเขาอยู่เสาก็จะสูงกว่าพระ นี่คือความไม่รอบคอบของอาตมาเอง เขาจึงไม่อยากจะย้าย แต่ไม่ทันได้คุยกันเพราะอาตมามัวแต่บวชพระอยู่ เขาก็เลยจัดการเล่นคนรื้อไปเสียก่อน ปกติถ้าเราผลักต้นไม้ ก็ต้องล้มไปข้างหน้า..ใช่ไหม ? แต่นี่ผลักแล้วไม่ล้มเหมือนต้นอื่น กลับหักกลางฟาดกลับมาใส่รถ..!" |
"บางทีการที่รู้อะไรมาก ก็ทำให้เดือดร้อนเหมือนกัน ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้รื้อไปเลย ให้เขาโกรธอยู่ฝ่ายเดียวก็หมดเรื่อง แต่ความจริงเทวดาโกรธไม่ได้ เพราะการหมดอายุของเทวดามีอยู่ตัวหนึ่ง คือ โกรธาพลขัย หมดอายุเพราะความโกรธ ไฟโกรธจะเผากายทิพย์ไปเลย และความโกรธอาจทำให้ลงข้างล่างได้ เพราะใจเศร้าหมอง
มีบางคนเขาถามว่า ทำไมเทวดาท่านไม่หักคอคนที่ตัดไม้ทำลายป่าเสียที ? ถ้าเป็นเรา รู้ว่าการทำร้ายคนเท่ากับแลกด้วยชีวิตตัวเอง เราก็คงไม่ทำหรอก นอกจากนี้ ยังมีอาหารขัย หมดอายุเพราะหมดอาหาร อายุขัย หมดเพราะอายุ" ถาม : นางไม้องค์นั้นที่เขาหงุดหงิด ลงมานั่งหน้ามุ่ย เขาโกรธเพราะ ? ตอบ : ตอนนั้นอาตมาธุดงค์ไปอาศัยอยู่ใต้ต้นเขา เขาอยู่ข้างบนไม่ได้ ร่วงมากองกับพื้น เขาก็หงุดหงิดสิ... ถาม : เขาโกรธแล้วไม่หมดอายุหรือคะ ? ตอบ : ไม่ได้โกรธถึงขนาดคิดทำร้าย แค่หงุดหงิดเพราะไม่ได้อย่างใจตัวเองเท่านั้น |
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการพยากรณ์มรรคผลว่า "นี่เป็นเรื่องแปลก เป็นส่วนที่อาตมากลัวและระมัดระวังอยู่ คนอื่นกลับเห็นเป็นของสนุก พยากรณ์กันไปเรื่อยเปื่อย คนฟังก็บ้าจี้เชื่อตามไปด้วย
เรื่องการพยากรณ์มรรคผล เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าโดยตรง เราไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะได้ไปพยากรณ์ผู้อื่น ใครพยากรณ์แทนพระพุทธเจ้าถือว่าผิดมารยาทละเมิดเบื้องสูง อาตมาเองก็ต้องระมัดระวังจนตัวลีบ ว่าจะไม่เผลอไปทำอย่างนั้นเข้า" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดในจัดสร้างพระบรมรูปในหลวง เขาหล่อแล้วจะเอาไปประดิษฐานที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ประเทศอินเดีย ทำให้อาตมาใจคอไม่ดี เพราะเท่าที่สังเกตมา บุคคลที่ทรงความดีสูง ๆ พอมีรูปแทนตัวแล้วมักจะไปเลย"
|
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เหล่าเทวดานางฟ้าพากันมาสักการะพระเจดีย์ ท่านจะมาลักษณะเป็นหมวดหมู่ เป็นสีสัน ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงามมาก มาเป็นชุด ๆ เป็นกลุ่ม ๆ บางกลุ่มก็เป็นร้อย บางกลุ่มก็เป็นพัน อาตมานึกว่ามีแต่ประเทศไทยเราที่แบ่งสีแบ่งฝ่าย จริง ๆ แล้วเทวดาเขาแบ่งแบบนี้มานานแล้ว..!"
ถาม : ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นพระธาตุส่วนไหนครับ ? ตอบ : เป็นเครื่องใช้ของพระพุทธเจ้า มีไม้เท้า หม้อกรองน้ำ สังฆาฏิ เป็นต้น ถาม : เป็นของใช้ของพระพุทธเจ้าองค์ไหน ? ตอบ : เป็นของสี่พระองค์ที่ผ่านมา องค์หนึ่งก็จะให้ของใช้ไว้ชิ้นหนึ่ง |
พระอาจารย์กล่าวถึงนายฮ้อยว่า "วัฒนธรรมอีสานที่เผยแผ่ไปทั่วประเทศ เพราะคนอีสานเขาไม่ค่อยกลัวในการเปลี่ยนแปลง คนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงจะไม่ค่อยกล้าไปที่อื่น หรือย้ายที่ทำกิน เป็นนิสัยรักการผจญภัยของเขาจริง ๆ
สมัยก่อน นายฮ้อยจะเป็นหัวหน้าคุมคาราวานวัวควายไปขายต่างบ้านต่างเมือง นายฮ้อยต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต เพราะขายได้ก็ต้องเอาเงินมาคืนเขา และตัวเองก็รับรางวัลในส่วนที่ควรจะได้ไป นายฮ้อยต้องเป็นคนกล้าหาญ เพราะการเดินทางจะต้องผ่านป่าผ่านดง ผจญสิงสาราสัตว์ ตลอดจนภูตผีปีศาจและโจรผู้ร้าย และต้องมีวิชาความรู้ติดตัว เพื่อที่จะได้นำคณะฟันฝ่าให้รอดไปได้ สมัยก่อนใครเป็นนายฮ้อยย่อมเป็นที่นับถือของคนทั้งบ้านทั้งเมือง" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:20 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.