เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่ถนัดของตน ไม่ว่าจะนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิหลวม นั่งขัดสมาธิแบบซ้อนขา หรือถ้าท่านใดถนัดจริง ๆ จะนั่งขัดสมาธิเพชรก็ได้ สำคัญที่ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า
เอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไปพร้อมกับคำภาวนา หายใจออกกำหนดรู้ตามออกมาพร้อมกับคำภาวนา ให้เราสามารถรู้ตลอดว่า ลมหายใจเข้าที่จมูก..ผ่านกึ่งกลางอก..ไปสุดที่ท้อง หายใจออก ออกจากท้อง..ผ่านกึ่งกลางอก..ไปสุดที่ปลายจมูก พร้อมกับคำภาวนา สำหรับวันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ วันนี้มีญาติโยมบางท่านสงสัยว่า เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่าเต็มแล้ว ไปต่อไม่ได้ ทำต่อไม่เป็น ควรจะแก้ไขอย่างไร ? ก็ได้ชี้แจงให้ทราบว่า เราจำเป็นต้องเปลี่ยนอิริยาบถ หรือบางทีถึงกับต้องเปลี่ยนสถานที่ไปเลย เพื่อให้จิตคลายออกมา แล้วจะได้ทำสมาธิต่อไปใหม่ได้อีก อย่างที่วัดท่าขนุน อาตมาแนะนำให้พระทั้งหลายใช้วิธีทำความสะอาดวัด โดยการกวาดใบไม้บ้าง ถูศาลาบ้าง ซึ่งการทำความสะอาดวัดนั้น มีอานิสงส์มากมายหลายอย่างด้วยกัน อันดับแรกก็คือ ได้เปลี่ยนอิริยาบถ จากการที่เราทำกรรมฐาน ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง การยืน การเดิน การนอนก็ตาม ไปสู่อิริยาบถอื่นที่ไม่ซ้ำซาก ประการต่อมาคือ การที่เราได้ทำความสะอาดวัด ทำให้วัดวาอารามสะอาดสะอ้าน ญาติโยมที่ไปมา เห็นแล้วเกิดความชื่นใจ วัดวาอารามที่สะอาด สว่าง สงบ โยมเห็นก็อยากจะเข้าวัดกันทั้งนั้น ข้อต่อไป คือ อานิสงส์ที่จะพึงได้ ผู้ที่ทำความสะอาดนั้นจะมีอานิสงส์มาก อย่างเช่น พระนาคเสน ในอดีตชาติท่านเป็นพระ กวาดหยากเยื่อ และให้พระยามิลินท์ที่เป็นสามเณรนำหยากเยื่อนั้นไปทิ้ง แต่พระยามิลินท์ที่เป็นสามเณรมัวแต่เล่นซุกซนอยู่ ไม่ได้นำหยากเยื่อไปทิ้งตามที่พระนาคเสนในชาตินั้นสั่ง พระนาคเสนจึงลงโทษตีด้วยด้ามไม้กวาด ทำให้สามเณรในอดีตของพระยามิลินท์นั้น ต้องร้องห่มร้องไห้นำเอาหยากเยื่อนั้นไปทิ้งน้ำ แต่ครั้นเทขยะไปลงน้ำแล้ว เห็นสายน้ำไหลตามกันระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่รู้จักหมดสิ้น ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ด้วยอานิสงส์ที่เรานำเอาขยะมาทิ้งนี้ ขอให้เกิดใหม่ชาติใดก็ตาม ให้มีปัญญาไม่รู้จักหมดจักสิ้น เหมือนกับระลอกคลื่นที่ไหลตามกันไม่รู้จักจบสิ้นเช่นนี้ |
พอดีพระนาคเสนซึ่งตั้งใจจะไปสรงน้ำ เพราะเหน็ดเหนื่อยเหนียวตัวจากการกวาดหยากเยื่อแล้ว ได้ยินเข้าพอดีท่านก็ตกใจว่า สามเณรนี้คิดการใหญ่เสียแล้ว และสิ่งที่เขาอธิษฐานก็จักมีผลสำเร็จตามนั้นเสียด้วย
ดังนั้น..พระนาคเสนในชาตินั้น จึงได้อธิษฐานทับว่า ถ้าหากสามเณรนี้ไปเกิดใหม่ ตั้งปัญหาถามมาอย่างไรก็ตาม เราเองที่ไปเกิดใหม่ด้วย ขอให้สามารถแก้ไขปัญหาทุกข้อของสามเณรนี้ได้โดยง่ายดาย และเป็นที่เข้าใจได้ชัดเจนด้วย เนื่องจากว่าสามเณรนั้นเป็นเพียงผู้นำหยากเยื่อไปทิ้งเท่านั้น แต่ท่านเองเป็นผู้กวาดทำความสะอาด ถือว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เณรได้อานิสงส์ เมื่อตนเองเป็นผู้เริ่มต้น ในส่วนของอานิสงส์ที่พึงมีก็ต้องมีมากกว่า จึงได้อธิษฐานทับไปเช่นนั้น พอมาเกิดใหม่ พระยามิลินท์มีปัญญามาก สอบถามปัญหาจนทำให้พระอรหันต์ต้องเก็บอาสนะหนีเข้าป่าไปเป็นแสนรูป..! จนกระทั่งไปพบกับพระนาคเสนที่เป็นคู่ปรับกัน สามารถตอบได้ทุกปัญหาจนหายข้องใจ หายสงสัย ตอนหลังพระยามิลินท์จึงได้บวช และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปอีกรูปหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่า นี่แค่อานิสงส์ในส่วนของการกวาดทำความสะอาดวัดเท่านั้น ตัวอย่างอีกท่านหนึ่งคือหลวงปู่อุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม ท่านเคยเล่าประวัติของท่านว่า ตั้งแต่ท่านบวชเป็นสามเณร ท่านก็จองการกวาดลานเจดีย์โดยไม่ยอมให้คนอื่นมาแย่งเลย เพราะว่าอานิสงส์ในการกวาดลานเจดีย์นั้นมหาศาลยิ่งนัก เพราะเป็นการทำความสะอาดสถานที่ซึ่งมีบุคคลเข้าไปกราบไหว้บูชาอยู่เป็นประจำ |
ดังนั้น..ทุกครั้งที่คนเขาเข้าไปกราบไหว้เจดีย์ อานิสงส์ก็จะเป็นของตน หลวงปู่ท่านจึงจองการกวาดทำความสะอาดลานเจดีย์อย่างที่ไม่ยอมให้ใครมาแย่งโดยเด็ดขาด อานิสงส์ของส่วนนี้ เราก็จะเห็นได้ชัดเจน
ในส่วนของอาตมาเองนั้น สมัยที่ปฏิบัติธรรมอยู่วัดท่าซุง ช่วงบวชใหม่ ๆ ก็ใช้วิธีการทำความสะอาดเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถเช่นกัน โดยการปัดกวาดเช็ดถูศาลานวราชบพิตร ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะต้องลงรับแขกทุกบ่าย การกวาดการถูนั้น เราก็กำหนดสติรู้ตามไปเป็นการเฉพาะหน้า ไม้กวาดไปข้างหน้า ไม้กวาดมาข้างหลัง ไม้ถูไปข้างหน้า ไม้ถูไปข้างหลัง จะไปข้างซ้าย จะไปข้างขวา เรากำหนดรู้สติตามไปทุกระยะ จะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น รู้ทั้งนั้น ทำให้สติและสมาธิจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า อยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน จึงทำให้จิตนั้นสะอาด เพราะว่าไม่ได้ปรุงแต่งไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง เลยแม้แต่น้อย ใครก็ตามถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องการทำความสะอาด อาจเป็นแม่บ้านทำครัว หั่นผักหั่นเนื้อ หรือซักเสื้อผ้า รีดผ้าก็ตาม เรากำหนดสติตามไปเฉพาะหน้า เมื่อสติของเราอยู่เฉพาะหน้า สิ่งที่เราจะปรุงแต่ง เป็นรัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่มี สิ่งทั้งหลายที่เราทำอยู่ ก็จะเป็นแต่กิริยาเท่านั้น ไม่เกิดกรรมขึ้นมา ในเมื่อไม่เกิดกรรมขึ้นมา ก็แปลว่าในส่วนของความชั่วนั้นไม่มี เหลือแต่ความดีล้วน ๆ ก็คือสติที่รู้อยู่กับปัจจุบัน กลายเป็นสร้างมหากุศลให้เกิดขึ้นแก่ตนเองตลอดเวลา เมื่อมหากุศลเกิดขึ้นกับตนเองอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่กวาด ทุกครั้งที่ถู ทุกครั้งที่ไม้กวาดเคลื่อนไปข้างหน้า ทุกครั้งที่เคลื่อนมาข้างหลัง ทุกครั้งที่เคลื่อนไปทางซ้าย ทุกครั้งที่เคลื่อนไปทางขวา หรือทุกครั้งที่ไม้ถูเลื่อนขึ้นไปข้างหน้า เลื่อนถอยมาด้านหลัง เลื่อนไปทางซ้าย เลื่อนไปทางขวา สภาพจิตของเรารู้อยู่แค่นี้ กรรมต่าง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นใหม่ได้ กลายเป็นเหลือแต่บุญล้วน ๆ |
เมื่อเราสะสมความดีไปเรื่อย ๆ ลักษณะอย่างนี้ พอความดีมากขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ก็จะถึงจุดสิ้นสุด ก็คือ เราจะทำดีเพราะว่าเราเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ดีเราถึงทำ ขณะเดียวกัน เราละชั่วเพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ชั่วเราจึงละ กลายเป็นบุคคลที่ไม่ติดทั้งดีทั้งชั่วแล้ว สภาพจิตของเราก็สามารถที่จะหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้
ทั้ง ๆ ที่เจตนาเดิมของเราต้องการแค่เปลี่ยนอิริยาบถของการปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ในเมื่อเราไปกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม โดยเฉพาะการทำความสะอาดวัดวาอารามหรือทำความสะอาดบ้าน หรือทำงานทำการเฉพาะหน้าของตน แล้วเราใส่สติไปอยู่เฉพาะหน้า อยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน จิตใจที่ไม่มีการปรุงแต่งเป็น รัก โลภ โกรธ หลง จึงเกิดเป็นกุศลมหาศาล ต่อให้ท่านไม่หลุดพ้น ถ้าหากว่าทำเป็นประจำ ๆ จนจิตทรงเป็นฌาน สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นการทำความสะอาดเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น สามารถส่งให้ท่านไปเกิดในสุคติได้ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับของเทวดานางฟ้าก็ดี ระดับของพรหมในชั้นต่าง ๆ ก็ดี หรือตลอดจนกระทั่งถ้าหากท่านเข้าถึงสภาพหมดกิเลสบางระดับคืออนาคามีผล ก็สามารถที่จะไปอยู่ในสุธาวาสพรหม หรือหากว่าสภาพจิตของท่านพ้นจากความดีความชั่ว ก็หลุดพ้นไปพระนิพพานได้เลย |
ดังนั้น..ในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราเห็นว่าไม่สำคัญนั้น จริง ๆ แล้วสำคัญทุกเรื่อง อยู่ที่ว่าเราทำเป็นหรือไม่เป็นเท่านั้น ท่านที่ถามปัญหาในวันนี้ว่า เมื่อปฏิบัติไปแล้ว ถึงจุดหนึ่งเหมือนกับตัน แล้วจะทำต่ออย่างไร ?
ก็ขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนอิริยาบถ ไม่ว่าเปลี่ยนจากนั่งไปเดินจงกรมก็ดี หรือว่าใช้การนอนภาวนาแทนก็ดี หรือว่าจะให้ปลอดภัยที่สุด ก็ทำอย่างที่อาตมาบอกไป ก็คือการเปลี่ยนไปทำความสะอาด ทำงานทำการเฉพาะหน้าของเรา แล้วรักษาสติไว้เฉพาะหน้า ระลึกรู้อยู่เสมอว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้ เราทำเพื่อพระนิพพาน ตัวเราที่ทำหน้าที่อยู่ ก็ก้าวเข้าไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่มีความทุกข์เช่นนี้ การเกิดมามีร่างกายที่ไม่เที่ยงเช่นนี้ เราขอมีเพียงชาตินี้ชาติเดียว ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว ก็แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านกระทำนั้น ท่านกระทำเพื่อพระนิพพานนั่นเอง ดังนั้น..ถ้าใครเกิดปัญหาลักษณะนี้ ก็สามารถนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ในการแก้ไข เพื่อให้ตนเองสามารถที่จะปฏิบัติธรรมต่อไปได้ โดยที่ไม่ไปถึงจุดตันที่ก้าวต่อไม่ได้อย่างญาติโยมที่ถามมา ลำดับถัดจากนี้ไป ก็ขอให้ทุกคนกำหนดความรู้สึกของตนไว้ที่ลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า พร้อมกับคำภาวนาที่ตนชอบใจตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์ วันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:50 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.