กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=127)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9155)

ตัวเล็ก 16-12-2022 19:55

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๕
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๕



เถรี 16-12-2022 22:57

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ นอกจากรักษาตัวและวิ่งงานแล้ว กระผม/อาตมภาพยังต้องทำการประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ กับคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน และคณะกรรมการบริหารตลาดริมแควเมืองท่าขนุน ก็เลยไม่รู้ว่าวันนี้หวยออก ไม่อย่างนั้นอาจจะให้ใครสักคนก็ได้..!

เมื่อครู่ที่พวกท่านเห็น เป็นงานเอกสารรับรองให้ท่านอาจารย์เตชะ (เตชะพละ) ต่อวีซ่า ของท่านอาจารย์เตชะต้องบอกว่าการต่อวีซ่าที่ค่อนข้างจะง่าย คำว่าง่ายในที่นี้ก็คือ ท่านมีหลักฐานในการเข้ามาศึกษาในประเทศไทย ก็คือมีประกาศนียบัตรนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก แล้วก็ยังมีวุฒิบัตรรับรองการปฏิบัติธรรมของวัดท่าขนุนด้วย ถ้าเป็นที่อื่นก็จะไม่ง่ายอย่างนี้

แต่ว่าขนาดง่ายก็ยังต้องทำสำเนาทุกอย่างถึง ๓ ชุด ส่งถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี แล้วก็ถึงผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดกาญจนบุรี เอกสารก็มีประวัติ การศึกษา หนังสือรับรองจากเจ้าอาวาส สำเนาหนังสือสุทธิของท่านเอง สำเนาหนังสือเดินทางของท่านเอง สำเนาหนังสือสุทธิของเจ้าอาวาส ทะเบียนวัด วิสุงคามสีมาของวัด แค่นี้เครียดพอหรือยัง ?

สรุปง่าย ๆ ว่าถ้าหากว่ามีแค่ลายเซ็น ก็ยังไม่แน่ว่าจะใช่หรือเปล่า ? เขาก็เลยต้องให้มีการลงลายมือชื่อรับรองเอกสารทุกหน้า แล้วยังต้องประทับตราวัดรับรองทุกหน้าด้วย

เหตุที่ต้องยุ่งยากขนาดนี้ เพราะว่าเคยมีการติดสินบน หรือว่าจ้างกันให้ออกเอกสารรับรอง เพื่อที่ท่านจะได้ต่อวีซ่าแล้วอยู่ในประเทศไทยกันได้ เนื่องจากว่าพระพม่าจำนวนมากเลยที่เข้ามา ไม่ได้เข้ามาในลักษณะธรรมทูตเหมือนกับท่านอาจารย์เตชะ แต่เข้ามาเพื่อหาเงินโดยตรง เพราะว่าเงินไทยใหญ่กว่ามาก ล่าสุดนี่ได้ยินว่าเงินไทย ๑ บาทเท่ากับเงินพม่าเกือบ ๕๐ จั๊ตแล้ว..!

เถรี 16-12-2022 23:09

ถ้าท่านทั้งหลายอ่านกระโถนข้างธรรมาสน์ฉบับพิเศษที่กระผม/อาตมภาพไปพม่ามา จะเห็นว่าครั้งแรก ๆ ที่ไปนั้น เงินไทย ๑ บาทแลกเงินพม่าได้ ๖ จั๊ต แล้วหลังจากนั้นก็ขยับเป็น ๙ จั๊ต เป็น ๑๒ จั๊ต ไล่ไปเรื่อย แล้วอยู่ ๆ รัฐบาลพม่าที่ไม่เคยขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการมาทั้งปีทั้งชาติ ถ้าถามว่าเงินเดือนขนาดไหน ? ก็ขนาดครูจบปริญญาโทมาสอนโรงเรียนมัธยมที่พะอ๊อก เงินเดือน ๒๐๐ จั๊ต แล้วคุณลองเอา ๖ หารดู ว่าจะเหลือกี่บาท ?

ตอนแรกพอเขาบอกว่าเงินเดือน ๒๐๐ (Two Hundred)
กระผม/อาตมภาพก็งง ๆ ถามว่า "ดอลล่าร์หรือ ?" "ไม่ใช่" "บาทหรือ ?"" ไม่ใช่..๒๐๐ จั๊ต..!" ตอนแรกคุณครูบอกว่าจะลาออก เตรียมที่จะไปเป็นกรรมกรที่สิงคโปร์ กระผม/อาตมภาพก็งง ๆ ว่า เป็นครูวุฒิปริญญาโท จะไปเป็นกรรมกรทำอะไรวะ ? แต่พอได้ยินว่าเงินเดือน ๒๐๐ จั๊ต กระผม/อาตมภาพก็แทบจะยุให้ลาออกเดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่าเอา ๖ หารแล้วเหลือแค่ ๓๐ กว่าบาท ?

แล้วรัฐบาลที่ไม่เคยขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการเลยมาตลอดระยะยาวนานหลายสิบปี อยู่ ๆ ขึ้นพรวดเดียว ๕๐๐ เปอร์เซ็นต์..! ก็คือจาก ๒๐๐ จั๊ต ก็รับไป ๑,๐๐๐ จั๊ตเลย ปรากฏว่าเงินพม่าตกพรวด จากที่บาทหนึ่งแลก ๖ จั๊ต ๙ จั๊ต ก็รูดพรวดไปที่ ๒๒ จั๊ต..! ปัจจุบันนี้ ๔๗ จั๊ต มีตกไปมากกว่านี้หรือเปล่ายังไม่รู้ ?

ปี ๒๕๒๔ กระผม/อาตมภาพรับราชการอยู่ที่กองพลทหารราบที่ ๙ ค่ายกาญจนบุรี ปัจจุบันนี้เปลี่ยนเป็นค่ายสุรสีห์ ตอนนั้นเงินพม่า ๑ จั๊ตแลกเงินไทยได้ ๒ บาท เงินเขาใหญ่กว่าเราเท่าตัวเลย..! แล้วรัฐบาลทหารก็สามารถบริหารได้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เงินไทยบาทหนึ่งใหญ่กว่าพม่าเกือบ ๕๐ เท่า..! แล้วยังได้ยินว่าบ้านเรามีการหาเสียงกัน จะขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำเป็น ๖๐๐ บาทต่อวัน ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"

ถ้าดูจากของพม่า เราจะเห็นว่านั่นก็บ้าขนาดขึ้นไปที ๕๐๐ เปอร์เซ็นต์..! แต่ของเราขึ้น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องหวังเลยว่าข้าวของจะไม่แพงขึ้น ก็มีแต่จะแพงหนักขึ้นอีก

เถรี 16-12-2022 23:11

เรื่องนี้ต้องชมรัฐบาลจีน สมัยก่อนทางบ้านกระผม/อาตมภาพ ถึงเวลาก็ต้องส่งเงินส่งทองให้กับทางบ้านแม่ใหญ่ที่อยู่เมืองจีน บรรดาญาติพี่น้องไปเที่ยวเมืองจีน เงินหนึ่งบาทห้าสิบสตางค์แลกได้ ๑ หยวน สิบปีต่อมาไปเมืองจีนก็เงินหนึ่งบาทห้าสิบสตางค์แลกได้ ๑ หยวน ข้าวปลาอาหารไม่เคยขยับราคาจากเดิมเลย นั่นคือลักษณะของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่คุมประชาชนอยู่หมัดเลย

แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ เราก็จะเห็นว่ารัฐบาลจีนค่อนข้างจะเผด็จการ อย่างเช่นนโยบายโควิดเป็นศูนย์ เขาไม่ได้สนใจว่าผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ จะมีเท่าไร ถึงเวลาก็ล็อคดาวน์ไปเลย เมืองใหญ่ ๆ อย่างเซี่ยงไฮ้ก็ยังโดน แต่ว่าสิ่งที่เขาทำ จำเป็นต้องเด็ดขาด เพราะประชากรเป็นพันล้าน ถ้าไม่เด็ดขาด ไปอนุโลมให้ตรงโน้นตรงนี้ เดี๋ยวที่เหลือก็อาละวาดกัน..!

เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ที่ประเทศจีนสามารถทำทุกอย่างได้สะดวกคล่องตัว เพราะว่าที่ดินทุกตารางนิ้วเป็นของรัฐบาล ประชาชนมีสิทธิ์แค่เช่าอยู่เท่านั้น ต่อให้สร้างบ้านสร้างเรือนเป็นตึก ๑๐๐ ชั้น ๒๐๐ ชั้น ถ้ารัฐบาลจีนต้องการที่คืนก็เวนคืนเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ต้องจ่ายอะไรมากด้วย เพราะว่าเป็นที่ของรัฐบาล..!

ที่คนจีนสามารถประกอบกิจการงานต่าง ๆ แล้วฐานะดี มีมหาเศรษฐีติดระดับโลกเป็นร้อย ๆ คนหลังจากที่เปิดประเทศ เพราะว่าการลงทุนของจีนไม่ต้องลงทุนเรื่องที่ดิน สมมติว่าบ้านเราจะสร้างบ้านก็ต้องซื้อที่ก่อน อย่างรอบ ๆ วัดท่าขนุนนี่ก็ไร่ละเป็นล้านบาท..! แล้วยังต้องสร้างบ้านเองอีกเท่าไรกว่าที่จะมีบ้านอยู่ แต่ของประเทศจีนไม่ต้องลงทุนซื้อที่ดิน เพราะว่ารัฐบาลไม่ให้เด็ดขาด ก็เลยกลายเป็นว่าเขาไม่ต้องลงทุนในเรื่องของที่ดิน มีเงินเหลือเอาไปลงทุนในเรื่องการค้าขายได้อีกมาก

เถรี 16-12-2022 23:14

ฟัง ๆ ดูก็เหมือนกับดีนะครับ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะดี เพราะว่าโบราณเขาบอกแล้วว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" คือ คนบางคนเหมาะกับยาบางอย่าง เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคเดียวกันแท้ ๆ ยังต้องจ่ายยาไม่เหมือนกัน เพราะว่าความแข็งแรงไม่เท่ากัน น้ำหนักร่างกายไม่เท่ากัน

กระผม/อาตมภาพโดนหมอจ่ายยา ต้องบอกว่าเกิดจากกรรมเก่าด้วย ได้ยาแก้มาลาเรียตัวใหม่มา หมอบอกว่าให้ฉันไปเลย ๓ เม็ด ฉันเข้าไปแล้วเมาไป ๓๓ วัน..! เมาชนิดเดินไม่ตรงทางเลย หมอก็ตกใจ แล้วก็มาถาม
กระผม/อาตมภาพว่าน้ำหนักตัวเท่าไร ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพหนักแค่ ๕๓ กิโลกรัม หมอบอกว่า คิดว่าเกิน ๖๐ กิโลกรัมก็เลยจ่ายให้ ๓ เม็ด ถ้าต่ำกว่า ๖๐ กิโลกรัมต้องให้แค่เม็ดเดียว..!

กระผม/อาตมภาพก็มาดูว่าเคยไปทำกรรมเก่าอะไรไว้ ปรากฏว่าตอนออกรบ เอาเหล้าไปกรอกช้างเสียหลายไห..! คือถ้าไม่เมาแล้วช้างจะไม่กล้าสู้ พอเมาขึ้นมา ช้างก็ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมแแล้ว ลุยกระจายอย่างเดียว..! ไอ้โทษที่ไปกรอกเหล้าให้ช้างเมา ตัวเองก็เลยโดนไป ๓๓ วัน..!

พวกเราต้องเข้าใจนะว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาเกิดจากกรรมเก่าทั้งสิ้น ทำดีไว้ก็รับผลดีไป ทำชั่วไว้ก็รับผลชั่วไป ดังนั้น..ไอ้เรื่องที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ทุกวันนี้ กระผม/อาตมภาพไม่ได้กังวลอะไรเลย เพราะว่ารู้วีรกรรมของตัวเองดี..!

แม้กระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ท่านก็รับรองให้ว่า "แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้มาก ถึงเวลาเศษกรรมปาณาติบาตจะตามมา ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย" ท่านให้กระผม/อาตมภาพไปปล่อยปลาทุกเดือน เดือนละตัวสองตัว เอาปลาที่เขาจะฆ่า ที่ภาษาตอนนี้เรียก "ปลาหน้าเขียง" แต่คราวนี้พอกระผม/อาตมภาพไปเห็นปลาตาปริบ ๆ อยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงต้องเหมาหมดทุกทีไป..!

เถรี 16-12-2022 23:16

แล้วใหม่ ๆ ก็ไม่รู้อะไร ไปซื้อปลาดุกมาเป็นปีบเลย ปรากฏว่าพอปล่อยลงตรงหน้าวัดท่าซุงบริเวณแพ พวกนี้ไปไหนไม่เป็น เพราะว่าเป็นปลาดุกเลี้ยง ได้แต่ม้วนกันอยู่เป็นก้อนนั่นแหละ หลายสิบตัว แล้วก็มีไอ้แสบก็คือปลากระแห ปลากระแหบางคนเรียกตะเพียนหางแดง ไอ้เจ้าพวกนี้ร้ายมาก เมียง ๆ เข้ามาดู พอได้จังหวะก็พุ่งเข้ากระชากหนวดปลาดุกไป ก็คือเอาไปกินนั่นแหละ..!

แต่ปลาดุกนี่ถ้าไม่มีหนวดก็หากินไม่ได้ เพราะว่าปลาดุกใช้หนวดคลำอาหาร ปรากฏว่าปลาที่กระผม/อาตมภาพปล่อยไปชุดแรก หนวดด้วนเกลี้ยงไม่เหลือสักตัว..!

หลังจากนั้น
กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องมาพิจารณาว่า ปลาพื้นเมืองที่นี่คืออะไร ? ก็ปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นปลากระแห ซึ่งคนเก่าคนแก่เขาบอกว่า ไอ้พวกนี้แค่เห็นฟ้าก็ตกใจตายแล้ว จึงไม่สามารถที่จะหามาปล่อยได้ แล้วก็ศึกษาต่อไปว่ามีปลาอะไรบ้าง มีปลาเทโพ ปลาสวาย ก็เลยเปลี่ยนไปซื้อปลาเทโพ ปลาสวาย มาปล่อยแทน

สรุปว่าปล่อยอยู่ ๓ ปี กลายเป็นวังมัจฉาหน้าวัดท่าซุงอย่างที่พวกคุณเห็น เพราะฉะนั้น..ขอให้รู้ว่าไอ้วังมัจฉาหน้าวัดท่าซุงนั้น เป็นวีรกรรมของกระผม/อาตมภาพเอง..!

ภายหลังต้องไปยังตีกับชาวบ้านเขาอีกหลายยก ไอ้เรื่องที่ชาวบ้านเขามาจับปลาหน้าวัด คือปกติก็ไม่ได้หวงไม่ได้ห้ามอะไรหรอก แต่ตอนนั้นไปได้ยินเขาแล้วร้อนหู พวกนั้นเอาอวนมาตีปลาไปทีหนึ่งเป็นคันรถกระบะเลย แล้วมาพูดกันว่า "พระวัดนี้โง่..เลี้ยงปลาให้กูขาย..!"

เถรี 16-12-2022 23:21

พอได้ยิน กระผม/อาตมภาพก็ฟิวส์ขาด ลงเรือประกาศเลย "ให้เวลาจนถึงเย็นนี้ มึงเก็บเครื่องมือทุกชิ้นขึ้น ไม่อย่างนั้นกูจะเก็บให้เอง..!" ไม่มีใครสนใจเลยสักคน เพราะว่าไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้ พอ ๒ ทุ่ม กระผม/อาตมภาพลงไปกวาดเรียบเลย ไอ้เจ้าพวกนั้นก็ฟูมฟายมาฟ้องหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า "พระท่านทำหน้าที่รักษาของสงฆ์ อาตมายุ่งด้วยไม่ได้"

พอกระผม/อาตมภาพได้มาก็เผาทิ้งหมด เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็มีไอ้พวกใจอ่อนเอาไปคืนเขา พวกคุณต้องเข้าใจว่า ตาข่ายดักปลาผืนหนึ่ง กว้าง ๒ เมตร ยาว ๑๐๐ เมตร เขาขึงเป็นรูปตัว Z ขวางแม่น้ำสะแกกรังหน้าวัด คนหนึ่งก็ ๓ ผืน
กระผม/อาตมภาพลากมากองพะเนินเทินทึก เผาเรียบ..!

จนกระทั่งตอนหลัง พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่า "ให้เหลือไว้บ้าง จะได้มีหลักฐานว่าพวกนี้มาทำชั่วหน้าวัด" แล้วท่านก็สร้างพิพิธภัณฑ์เครื่องมือจับปลาไว้ที่ใต้ถุนวิหารท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไม่รู้ว่ายังเหลืออยู่หรือเปล่า ? ขอให้รู้ว่านั่นเป็นวีรกรรมของกระผม/อาตมภาพเองเช่นกัน

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอก เพราะว่ามีสารพัดเรื่อง แล้วกระผม/อาตมภาพก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะแรงด้วย ไอ้พวกนั้นมันก็ขู่ว่า "จะขายที่ขายบ้านมาเอาพระสึกให้ได้..!"
กระผม/อาตมภาพบอกว่า "รีบทำเลย ตอนนี้กูบวชอยู่ กูทำได้แค่นี้ กูสึกเมื่อไร พวกมึงโดนหนักกว่านี้อีกหลายเท่า...!" เงียบสนิทไปเลย ก็ไม่มีอะไร..แค่มาเล่าความชั่วของตัวเองให้ฟังว่า ไอ้ที่ป่วยอยู่ทุกวันนี้ เกิดจากไอ้เรื่องที่ไปทำเอาไว้แบบนี้แหละ

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:20


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว