ข้อต่อไป ก็คือ ต้องรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว จะไม่มีกำลังฝืนใจตัวเองไม่ให้ละเมิดศีลได้ และท้ายที่สุดเมื่อสมาธิทรงตัว จิตใจสงบ ผ่องใส เยือกเย็น ก็จะเกิดปัญญาที่จะมองเห็นว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ของวัตถุธาตุต่าง ๆ ก็ดี มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอนเลย
ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ และท้ายที่สุดร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุต่าง ๆ ก็ดี ล้วนแล้วแต่เสื่อมสลายตายพังไปทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเหลือให้ยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้
เมื่อเห็นอย่างนี้อย่างชัดเจนจิตก็จะเบื่อหน่าย หมดความปรารถนาที่จะมีร่างกายเช่นนี้ หมดความปรารถนาต้องการร่างกายของผู้อื่น เราก็สามารถที่จะก้าวข้ามกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้
ดังนั้นในการภาวนาทุกครั้ง เราต้องตรวจวัดอารมณ์ของเราให้เห็นว่ามีนิวรณ์ ๕ อยู่หรือไม่ ? ถ้าไม่มีก็ภาวนาให้กำลังใจทรงตัว แล้วคลายออกมาพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ในอัตภาพร่างกายนี้ ในอัตภาพของร่างกายผู้อื่น ของสัตว์อื่น ของวัตถุธาตุอื่น ๆ จนกระทั่งจิตของเราหมดความต้องการในร่างกาย ทั้งของตนเองและของผู้อื่น แล้วเอากำลังใจเกาะพระนิพพานแทน
ลำดับต่อไปนี้ก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าและเถรี)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2012 เมื่อ 02:40
|