"เรื่องบางอย่างเป็นศิลปะของการดำเนินชีวิต ต่อให้คุณอยากทำหรือไม่อยากทำก็ต้องทำ สมัยก่อนพระที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านนิมนต์ไปงานเป็นประจำ ๆ จะมีประมาณ ๘๐ รูป อาตมากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ..พระที่นิมนต์มา ผมเห็นว่าเฮงซวยห่วยแตกก็เยอะมาก หลวงพ่อนิมนต์มาทำไมครับ ? ทำไมเราไม่นิมนต์พระอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา หลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ล้วน ๆ”
ท่านบอกว่า “พระที่เอ็งบอกว่าไม่ได้เรื่อง ต่อไปท่านจะเป็นใหญ่เป็นโตในสายการปกครองภายหน้า ถ้าเอ็งรู้จักเอาไว้ก่อน ต่อไปทำอะไรก็สะดวก” ปัจจุบันนี้เห็นจริงแล้วเพราะบรรดาพระผู้ใหญ่ส่วนหนึ่ง ท่านก้าวเข้าไปสู่ตำแหน่งสำคัญ ๆ ทั้งนั้น ถึงเวลาท่านให้ความรู้จักมักคุ้นทักทาย จนกระทั่งคนอื่นเขายังงงว่าไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร
ในเมื่อรู้จักมักคุ้นกัน ถึงเวลาเรานิมนต์งานของเราท่านก็มา คนอื่นเขาเห็นว่าพระผู้ใหญ่ระดับนั้นยังมา เขาก็เกรงใจ จะเห็นว่ากุศโลบายของหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นยอดเยี่ยมที่ว่า ท่านเอาพระทองคำอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาก็ดี หลวงปู่มหาอำพันก็ดี มาเป็นหลัก ส่วนที่เหลือก็เป็นคณะสงฆ์ในการรับสังฆทานที่ท่านถวาย ไม่ว่าท่านจะมีความบกพร่องอย่างไร แต่ว่าในเมื่อนับเป็นสังฆทาน นับเป็นส่วนหนึ่งของคณะสงฆ์แล้ว อานิสงส์ของเราก็ได้เต็มร้อยส่วน
อย่างวัดท่าขนุนช่วงงานหลวงปู่สาย ก็จะเป็นในส่วนของเจ้าคณะปกครองตั้งแต่ระดับภาค ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ระดับตำบล ระดับเจ้าอาวาส แต่ถ้างานทำบุญวันแม่ อาตมาก็เลือกเฉพาะพวกที่มั่นใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย งานนี้ญาติโยมอยากทำบุญก็ว่าให้เต็มที่ไปเลย งานนั้นถ้าจะทำบุญก็ตั้งใจเป็นสังฆทานไปเลย"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2012 เมื่อ 15:12
|