พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณท่านเก่ง ท่านกำหนดเรื่องการบวชพระเพื่อให้เราได้บุญได้กุศลมากที่สุด เริ่มจากการแห่นาค สมัยก่อนเขาไม่ได้แห่นาคแค่รอบโบสถ์ เขาแห่รอบหมู่บ้าน แห่รอบตำบลกันเลย เพื่อให้ญาติโยมคนที่เห็นจะได้โมทนาด้วย นั่นคือเจตนาของการแห่นาคที่แท้จริง
ช่วงที่แห่นาครอบโบสถ์ก็นึกถึงพระพุทธ นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ ถึงได้แห่ ๓ รอบ จัดเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ การวันทาเสมาคือการขอขมาพระรัตนตรัย โทษอะไรที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้เป็นอโหสิกรรมด้วย ลักษณะว่าจะเข้าไปบวชแล้ว ก็ให้บริสุทธิ์ที่สุด คราวนี้พอวันทาเสมาเสร็จก็มีการโปรยทาน เป็นการทำทานและเป็นทานไม่เจาะจงด้วย เพราะโปรยไปใครเก็บได้ก็เป็นของคนนั้น ต้องบอกว่าเกือบ ๆ จะเป็นสังฆทานแล้ว
หลังจากนั้นพอเข้าโบสถ์ก็กราบพระ รับศีล ก็ได้ทาน ได้ศีล แล้วไปได้ภาวนาตอนเริ่มบวช พระอุปัชฌาย์ท่านจะบอกกรรมฐานให้ เขาเรียกมูลกรรมฐานหรือตจปัญจกกรรมฐาน แปลว่ากรรมฐาน ๕ ที่มีหนังเป็นที่สุด คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ
เพราะฉะนั้น..โบราณท่านเก่งมาก แทรกความดีไว้ในพิธีกรรมเต็มที่เลย แต่คนรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยรู้กัน เขาแห่เราก็แห่ด้วย บางทีก็เมาหัวทิ่มอยู่ในขบวนแห่นั่นแหละ สมัยก่อนเขาแห่นาคเพราะต้องการให้คนอื่นโมทนาในความดี แต่นี่ไปเมา..แล้วจะเอาความดีที่ไหนมาให้เขาโมทนาได้ บางคนเมาแล้วยิงปืนอีกต่างหาก..!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-03-2013 เมื่อ 05:56
|