เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นว่า ในการที่เราจะตัดละกิเลสนั้น สำคัญที่สุดคือเริ่มที่การตัดสักกายทิฏฐิ คราวนี้สักกายทิฏฐิหรือความเป็นตัวเป็นตนของเราที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้น ในปัจจุบันเรามีสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นเยอะมาก ก็ต้องบอกว่าความทันสมัยของเทคโนโลยีทำให้เราสร้างตัวตนเสมือนขึ้นมา แต่ไปยึดถือเป็นตัวตนจริง ๆ มากต่อมากด้วยกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวถ่วงให้เราตัด ให้เราละได้ยากพอ ๆ กับการมีครอบครัว
บางคนในชีวิตแทบจะอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะบริหารตัวตนต่าง ๆ ที่ตนเองสร้างเอาไว้ในโลกเสมือน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เองที่เพื่อนเก่าเขาบอกว่า เอามาครอบงำพวกเราเอาไว้มากขึ้น ๆ ทุกวัน ยิ่งคนรุ่นใหม่ ๆ ยิ่งโดนครอบงำได้ง่าย แต่อาตมาเองไม่ได้หนักใจเพราะไม่ว่าสิ่งที่เขานำมาครอบงำจะเป็นอะไรก็ตาม ศีล สมาธิและปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำสั่งสอนไว้นั้น เหลือเฟือเกินพอที่จะต่อสู้และต่อต้าน ยิ่งมาบอกข้อสอบแบบนี้ล่วงหน้าก็ยิ่งต่อต้านได้ง่ายขึ้น
เนื่องจากว่าการที่เราจะตัดละตัวตนของเราก็ดี สิ่งรอบข้างของเราก็ดี ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ง่ายมาก การตัดละตัวตนของเราในระดับต้นนั้น ในระดับของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี เราแค่รู้สึกตัวว่าเราต้องตายอยู่เสมอก็เพียงพอแล้ว เพราะการรู้สึกตัวว่าต้องตายอยู่เสมอ ทำให้เราไม่ประมาท ทำให้เราต้องเร่งหาทางคิดว่า ตายแล้วเราจะไปไหน จะไปทั้งทีก็ขอให้พ้นทุกข์โดยถาวร ไม่ใช่พ้นทุกข์โดยชั่วคราว การตัดละในระดับของพระอนาคามีนั้น เราเห็นว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี มีแต่ความสกปรกโสโครก ไม่มีอะไรน่ารักใคร่ใยดีเป็นปกติ ต้องเป็นการตัดละในระดับพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเห็นว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2013 เมื่อ 02:46
|