ดังนั้น..พวกเราไม่มีอะไรที่ต้องหนักใจ อันดับแรกของเราก็ใคร่ครวญถึงความตายไว้เป็นปกติว่า ทุกลมหายใจเข้าออกของเราคือความตายซึ่งสามารถมาเยือนเราได้ตลอดเวลา หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็มาพิจารณาศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไปเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้ามีกำลังใจแน่วแน่มั่นคงอยู่ในลักษณะอย่างนี้ การเป็นพระโสดาบันก็ไม่ใช่ของยากสำหรับเรา เมื่อก้าวเข้ายึดหัวหาดอย่างนี้ได้แล้ว ก็แปลว่าเราสามารถล่วงพ้นอำนาจของมารไปได้ในระดับหนึ่ง ที่เหลือก็อยู่ที่เราว่าจะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นในระดับสูงขึ้นไปหรือไม่
เมื่อเป็นเช่นนั้นจะเห็นได้ว่าการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงแล้วยังคงสามารถที่จะก้าวล่วงกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเมื่อทวนศีลของเราบริสุทธ์แล้ว ก็ทำสมาธิของเราให้เต็มที่เท่าที่ทำได้ เมื่อสมาธิคลายตัวออกมาก็พยายามพิจารณาให้เห็นว่าเรามีความตายเป็นปกติ หรือสภาพร่างกายของเรามีความสกปรกโสโครก ไม่น่ารักใคร่เป็นปกติ หรือพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ เป็นที่อาศัยให้เราทำความดีเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่มีอะไรที่ต้องยึดมั่นถือมั่น
ถ้าท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ได้ บ่วงมารต่าง ๆ ที่พยายามสร้างมาเพื่อครอบงำพวกเรา ก็ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรที่ทำให้เราต้องสะทกสะท้านเลย ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดภาวนาหรือพิจารณาของตนตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าและเถรี)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2013 เมื่อ 01:21
|