ดูแบบคำตอบเดียว
  #43  
เก่า 22-08-2013, 01:10
สายท่าขนุน สายท่าขนุน is offline
สมาชิก VIP - ผู้ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 759
ได้ให้อนุโมทนา: 160,002
ได้รับอนุโมทนา 133,158 ครั้ง ใน 5,305 โพสต์
สายท่าขนุน is on a distinguished road
Wink อยู่วัด ปฏิบัติธรรม ตอนที่ ๒/๓ - ออกไปตลาดใส่บาตรพระ

ตอนที่ ๒ นี้ จะมาเล่าเรื่องการที่พวกเราผู้บวชเนกขัมมะฯ จะออกไปใส่บาตรกัน

...ขอคั่นด้วยเรื่องพระอาจารย์เมตตาสั่งสอนสักหน่อย เรื่องนี้ถูกสอนมาตั้งแต่เมื่อห้าปีกว่ามาแล้ว ยังพลาดอยู่อีก
ตอนเช้าก่อนพระจะตั้งแถวไปใส่บาตร ตามเส้นทาง (สาย) ต่าง ๆ พระอาจารย์ก็มักจะเดินมาสงเคราะห์แม่ชีที่โรงครัว

...แต่แรก ๆ ที่ยายเห็น ท่านจะเดินออกมาทางด้านข้างกุฏิชี เปิดประตูไม้ ออกมาหน้าโรงครัว ให้แม่ชี และโยมที่วัดที่ช่วยงานครัวได้ถวายปัจจัยกันก่อน (บอกแล้วว่า แกงหยวกนี่นะ แม่ชีกับโยมช่วยงานทำกันทั้งวันทั้งคืน)

ยายยังนึกว่า เออหนอ..แม่ชีมัวทำกับข้าว เตรียมอาหารถวายพระ เตรียมอาหารให้พวกเรา และรออาหารใส่บาตรที่จะกลับมาให้จัดแยก จัดถวายอีกด้วย
คลับคล้ายคลับคลาว่า แรก ๆ เห็นท่านถือย่ามมารับปัจจัยจากแม่ชี คล้ายกับว่า แม่ชีไม่ได้ไปทำวัตรเช้าจึงไม่ได้ใส่ย่าม.. หากจำผิดก็กราบขอขมาด้วยค่ะ

ต่อมาญาติโยมที่บวช ก็ร่วมถวายปัจจัยด้วย ท่านก็ไม่ได้ให้ใส่ย่ามแล้ว เพราะเพิ่งใส่กันมาหลังทำวัตรเช้า… บางครั้ง ท่านจะถือบาตรมาด้วย แต่เคยมีคนถวายปัจจัยว่าใส่บาตร ท่านไม่รับเป็นใส่บาตร ให้ไปใส่นอกวัด (ท่านนำบิณฑบาตสายตลาด พวกเราก็ ‘แห่ตาม’ ไปที่ตลาดเป็นปกติ) โดยมีแม่ชีชื่นถวายคนแรกเช่นที่ทำกันเป็นปกติแต่ไรมา

ระยะต่อมา ป้านุชจะจัดพานดอกไม้ตอนกลางคืนเพื่อถวายพระอาจารย์ก่อนทำกรรมฐานทุกเช้า และมักอยู่บริเวณที่จัดดอกไม้นั้นตอนเช้า จึงเริ่มจากป้านุชถวายถุงพลาสติกใส่เงินให้ท่าน ที่ท่านมักเรียกหามา แล้วเรียกว่า ‘กระสอบ’
แล้วยายก็พลอยบอกใคร ๆ ว่าให้ป้านุชเตรียมเรื่องนี้ไปเถอะ จะได้ไม่ดูเก้ ๆ กัง ๆ หาถุงกันบ้าง มองตากันบ้าง ว่าใครจะถวาย ยกเว้นป้านุชไม่มีถุงพลาสติก หรือไม่อยู่

ส่วนพระอาจารย์ท่านก็จะเดินเข้าทางประตูรั้วโรงครัวด้านหน้า ไม่ได้มาทางด้านข้างอีก

…วันนั้น ป้านุชไม่อยู่ ยายก็มัวอธิบายใครต่อใครที่มาใหม่ที่สงสัยว่ามารอทำอะไรกัน อธิบายสารพัด อย่างที่เล่ามาข้างต้นนี่แหละ
พอท่านเดินมาถึง อ้าววันนี้ป้านุชยังไม่ถึงวัด ยายก็เอาถุงพลาสติกในกระเป๋าส่งให้น้องที่ดูแลใกล้พระอาจารย์ท่านหนึ่งที่บวชอยู่ด้วย น้องรับไปแล้วส่องดูว่า มีอะไรหลงอยู่หรือไม่ ก็พบธนบัตร ๒๐ บาทอยู่ใบหนึ่ง กำลังหันมาถามยาย…
เสียงพระอาจารย์ดังขึ้นอย่างเข้มขลังว่า “ทำอะไรกันนี่ ? ”… พอยายตอบเรื่องแบงก์ ๒๐ แล้ว น้องก็หันไปจะส่งถวายถุงพลาสติก… เสียงท่านก็ดังขึ้นอีก “มาทำอะไรกันอยู่นี่”… น้องถึงกับกระตุกหดมือที่จะถวายถุงพลาสติกกลับ
ยายต้องลุ้นว่า ถวายไปเถิด… เมื่อท่านถือถุงแล้ว น้องคนนั้นกับยาย ก็จะใส่เงินในถุงบ้าง… เสียงท่านยังดังชัดเจน “รู้ไหมว่านี่ทำอะไร ?"

…เราสองคนก็ยังมีอาการ ‘เอ๋อ’ ที่กล้ากล่าวอ้างถึงน้องเขาด้วย เพราะเรามาคุยกันทีหลัง ทั้งคู่ใส่เงินในถุงไปอย่างนั้นเอง !!!... ก่อนที่จะสำนึกด้วยกันว่า ‘เราสองคน’ โดนสั่งสอนเรื่อง “ไม่ตั้งกำลังใจทำบุญให้ดี” (แปลว่า หากไม่คิดอะไรเลยจริง ๆ ก็ไม่มีอานิสงส์ !!!... ยิ่งกว่าการทำบุญแบบเกรงใจคนบอกบุญ หรือตัดรำคาญอีกนะ)...

ยายต้องมานึกทีหลังว่า ยายนี้หนอตอนเช้าได้ใส่ปัจจัยถวายเป็นสังฆทาน (แบบที่หลวงตาเคยสั่งให้ยาย โมทนาบุญตัวเองบ่อย ๆ )… หลังจากถามคนอื่น ๆ (ที่ยายไปอธิบายเขาไว้เอง) แต่ละคนตอบได้หมดว่าใส่ปัจจัยทำบุญอะไร

สติจ้ะยาย สตินะ เขาเรียกสติ… ต้องมีสมาธิก่อนด้วย สติจึงจะมีได้

หมายเหตุ :

นานมาแล้ว… ที่บ้านอนุสาวรีย์ ยายโดนสั่งสอนเรื่องนี้จำได้มั่น เริ่มจากท่านไม่รับปัจจัย และต่อมาได้ยินเสียงเอ็ดเข้ามาในใจ ดังชัดเจน แล้วสุดท้ายท่านไม่รับ แล้วกล่าวออกไมค์เลยว่า ‘นั่นเขาไม่ได้ถวายสังฆทานหรอก เขาเอาเงินวางไว้เฉย ๆ ’… ยายว่านั่นเกือบ ๖ ปีมาแล้วนะ… ยายจ๋า แก่แล้ว เวลาเหลือไม่มากนักแล้วนะจ๊ะ (มุสลิมเขายังมีการ ‘ตั้งใจ’ ทำบุญนี้เลย เขาเรียกว่า ‘เหงียด’ คือ เขาสอนให้ต้อง ‘เหงียด’ ก่อนทำบุญทุกครั้ง จึงจะได้บุญ)


...ทีนี้ก็เดินตามพระออกไปใส่บาตรกันสักทีละ

แต่ก่อนนี้ เราจะเดินตามแถวพระไปทางถนนกันบ้าง มีกลุ่มแยกไปเดินข้ามสะพานหลวงปู่สายอีกทางบ้าง… พวกที่จะช่วยรับของใส่บาตรมาใส่ ‘รถ’ ที่จะขนอาหารมาที่วัด ที่เราเรียกกันว่า ‘เด็กวัด’ นั้น ก็จะหยิบถังเหลือง ถือตามไป เพื่อใช้ถังขนอาหารจากที่ญาติโยมในตลาดใส่บาตรพระกัน… เราไม่นิยมเอารถไป เพราะหาที่จอดยาก และดูเหมือน ‘รักสบาย’ เกินไป ยกเว้นพาคนแก่เดินไม่ไหวไป… พระท่านเดินไป เราก็เดินไป หากภาวนาไปด้วยอย่างท่านได้ก็ยิ่งดี

ขากลับบางคนก็จะข้ามสะพานมาก่อน มาดักถ่ายรูปแถวพระ (ที่เห็นกันว่างาม ๆ … พระอาจารย์ท่านเรียงลำดับแถวตามความสูง ไม่ใช่จำนวนพรรษา) ที่ปลายสะพาน

เร็ว ๆ นี้ เห็นมีบางคนยืนหันรีหันขวาง ก่อนจะไปตลาด ไม่รู้ว่าไปใส่บาตรที่ตลาดนี่คือทำอะไรบ้าง ? ไปทางไหน ? ทำอย่างไร ? มีเวลาเท่าไร ? เขาซื้ออาหารกันตรงไหน ? แล้วแถวพระไปทางไหน ? รอใส่บาตรพระกันตรงไหนได้บ้าง ? …. หลัง ๆ ยังมีกิจกรรมปล่อยปลาเสริมเป็นปกติอีกด้วย

ยายจึงอยากมาบอกมาเล่าเรื่องการใส่บาตรพระในตลาดให้ทราบสถานการณ์เท่าที่ยายเคยเจอมา…

เท่าที่ยายจำได้ ตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการจัดบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม ผู้หญิงที่จะช่วยทำหน้าที่ ‘เด็กวัด’ (ชื่อเรียกนี่ก็มาตั้งกันช่วงเริ่มมีบวชนี้ด้วย) จะได้รับการบอกกล่าวให้ระมัดระวังกิริยา ไม่วิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง หรือเข้าใกล้พระจนเกินไป เนื่องจากชาวบ้านท้องถิ่นเขาถือ
ต่อมา เราก็ได้ยินพระอาจารย์ประกาศขอให้พวกเรา 'อย่าไปเดินกร่างเต็มถนน' ให้เกะกะรถบนถนน... (พวกเราคงยังไม่ทันระวัง) ท่านบอกต่อมาเพิ่มเติมว่า เวลาพระบิณฑบาต เป็นเวลาที่คนเขาจะรีบขับรถไปทำมาหากินกัน ไปเกะกะขวางคนที่จะทำมาหากิน จะเป็นวิบากได้

ดูเหมือนพอคนมากขึ้น อาจบอกต่อกันไม่ทั่ว และเรื่องเช่นนี้มิได้นำลงเก็บตกฯ เพียงพระอาจารย์ท่านบอกผู้บวชฯ เป็นระยะ
เรื่องที่ยายเจอเอง (เพราะไปเกะกะ ยืนผิดที่ผิดทางมาก่อน ถึงกับท่านต้องเมตตาชี้ให้ย้ายที่ยืน) คือ เรื่องที่ควรช่วยกันระวังให้แถวพระอยู่บนถนนให้น้อยที่สุด ได้แก่

หากเป็นทางเท้าที่มีระยะกว้างพอที่แถวพระจะเดินขึ้นไปได้ ขอให้พวกเราตั้งแถวชิดใน ใส่บาตรพระบนทางเท้า กับ
ควรตั้งแถวเพียงฝั่งใดฝั่งหนึ่ง อย่าให้เป็นทั้ง ๒ ฝั่ง หรือสลับฟันปลาหลายช่วงนัก และ
หากสังเกตรู้บ้านที่ใส่บาตรเป็นประจำ ให้ต่อแถวแนวเดียวกันเป็นหลัก เพื่อลดการข้ามถนนของแถวพระ

...ตลาดทองผาภูมิ ไม่ค่อยมีดอกไม้ขาย ที่มีขายดอกไม้แบบจัดช่อจัดกระเช้าได้ก็แพงมาก ที่ยายสงสัยที่สุด คือไม่มีดอกบัวขาย ถ้ายายอยากได้ ก็ต้องหาเอาไปเองจากปากคลองตลาด… ดอกมะลิเพิ่งบาน ร้อยเป็นกระจุกเสียบไม้เหลา ที่เขามาขายตอนใส่บาตร จึงงามหอมนักหนา พวกเราก็ถวายใส่บาตรกันคนละช่อ ๆ …. ดอกไม้อื่นที่มีก็มักเป็นพวกดอกดาหลา (ที่จริงเขากินจิ้มกับน้ำพริกได้ ผัดก็ได้) หรือดอกเข้าพรรษาสีขาว ช่วงเข้าพรรษา

พอกลับถึงวัด ก็ได้ยินพระอาจารย์ท่านประกาศ… พวกดอกไม้ หรืออะไรที่กินไม่ได้ ไม่ต้องใส่บาตรมาหรอก มาถึงวัดก็ลำบากแม่ชี ต้องมาคัด มาแยก มาจัดบูชาพระ ให้ใครต่อก็ไม่ได้ เต็มวัดไปหมด แล้วก็ต้องตามไปเก็บทิ้งด้วย

ล่าสุด บวชช่วงวันแม่นี่เอง ยายได้ยินพระอาจารย์ออกไมค์บอกเรื่องที่ชาวบ้านเริ่มพูดกันว่า 'พระวัดท่าขนุนทำให้รถติดในตลาด !!!' กับ
เรื่อง 'เด็กวัด' ที่ไปยืนจ้องคนใส่บาตร (เพื่อรับของใส่บาตรขนมาไว้ที่รถขนของ) โดยไม่รู้ตัวว่าทำหน้าคาดคั้น ให้เขาเครียดขนาดไหน... ท่านว่าน้องเขาไม่รู้ตัวหรอกว่า หน้าตัวเองเป็นอย่างไร จ้องเขาอย่างกับจะบอกว่า จะใส่หรือไม่ใส่ จะใส่ก็ใส่มาเร็ว ๆ (ยายจำไม่ได้ชัดทุกคำที่ท่านพูด แต่ให้อารมณ์ว่า ‘น่ากลัวมาก’… บางท่านอาจได้ยินเองกับหูแล้ว

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับญาติโยมที่ศรัทธาวัดท่าขนุน ศรัทธาหลวงปู่สาย
เหล่านี้ เป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราต้องระมัดระวัง

…พระก็เดินแถวยาวมาก พวกเราก็ชอบไปช่วยงานใกล้ ๆ พระ มีกันก็หลายคนที่ไปล้อมอยู่รอบ ๆ พระ คงจะประมาณว่า ฉันยังไม่ได้ช่วยขนของบ้างเลย… จะไปใส่บาตรด้วย ก็ใส่กันคนละหลายชุด อาหารคงจะเหลือเฟือ (ที่จริงแล้ว ที่วัดจะจัดส่วนหนึ่งถวายเช้า แยกส่วนหนึ่งถวายเพล และแจกต่อไปให้กลุ่มคนแถวนั้น… ยายเคยได้ยินคล้าย ๆ ว่าที่คุกหรืออะไรนี่ ไม่ยืนยันข้อมูลนะจ๊ะ)…

ลำพังแถวพระ เดินชิดทางเท้า ก็ไม่กระไร แต่ตอนแถวพระข้ามถนนนี่ ก็นานพอควร ก็แถวยาว และชาวบ้านไม่นิยมขับรถตัดแถวพระแน่นอน แล้วหากแถวพระนั้นกว้างออกไปเต็มถนน เพราะมีโยมมาเดินขนานบ้าง ไม่ขนานบ้าง เต็มถนนเลย ชาวบ้านเขาจะไปอย่างไร… ไม่มีแถวพระ พวกเราก็ ‘ยิ่งใหญ่’ มาก อย่างท่านว่า เดินเต็มถนนเหมือนเป็นทางเท้ากันเป็นปกติ !!!

พวกเราก็หลายกลุ่ม หลายคณะ… ยายว่าช่วยกันค่อย ๆ บอกแบบพูดคุยให้ข้อมูลกัน เป็นระยะ พวกมาเดี่ยว ๆ ก็บอกต่อให้ถูกต้องเหมาะควร ท่านที่เป็นหัวหน้าคณะหรือพาทีมมา ก็เล่าสู่กันฟังแบบออกไมค์ไปเลย แทนพระอาจารย์ที่ต้องคอยมาบอกพวกเราออกไมค์อยู่เสมอ ดีกว่า…

รักษากำลังใจ รักษาศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อพระอาจารย์ของพวกเรา
และยังทดแทนพระคุณหลวงปู่สาย ที่เจริญศรัทธาญาติโยมไว้ทั่วเมืองกาญจน์ฯ

ตอนที่ ๒ เรื่องไปใส่บาตรที่ตลาดของยายนี้ สรุปว่า

ห้อมล้อมแถวพระ เกะกะทั่วถนน ไม่เกรงใจคน
ทำตนอวดกร่าง อยู่ข้างอาจารย์ ออกแนวระราน ประจานผู้ใด ?


(ขออภัย ออกแนวหนักไปหน่อยจ้ะ...
แต่ยายว่า ตอนที่ ๓ ที่จะปิดเล่าเรื่องคราวนี้ ตอน รักษาอารมณ์ รักษากำลังใจ อาจจะหนักกว่า)
__________________
การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด...ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน
ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมา เราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว...
กำลังใจของเราพลาดแม้แค่วินาทีเดียวนี่ อาจจะหมายถึงแพ้ทั้งกระดาน

อะไรมันก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับต้องเกิดใหม่ มันเป็นทุกข์ เป็นโทษสุด ๆ จริง ๆ
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๕๑

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายท่าขนุน : 24-08-2013 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สายท่าขนุน ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา