ตอนที่เราพิจารณาอยู่นี่แหละ สภาพจิตจะดิ่งลึกไปเรื่อย ลึกไปเรื่อยโดยที่เราบางทีก็ไม่รู้ตัว แล้วจะทรงตัวเป็นอารมณ์ภาวนาโดยอัตโนมัติ ถึงตอนนั้นให้เราจับลมหายใจเข้าภาวนาต่อได้เลย จะไปได้อีกหน่อยหนึ่ง เพราะว่าสมถะคือการภาวนา วิปัสสนาคือการพิจารณา สองอย่างนี้ผูกขาติดกันอยู่ ก้าวข้างเดียวไม่ได้ ก้าวพร้อมกัน ๒ ข้างก็ไม่ได้ ต้องผลัดกันก้าว ภาวนาจนกำลังใจทรงตัวเท่ากับได้ก้าวหนึ่ง จะก้าวที่สองไม่ได้แล้ว ติดโซ่ที่ล่ามอยู่ ก็จะโดนกระตุกกลับ
ฉะนั้น..ต้องพิจารณาต่อ ก็จะได้อีกก้าวหนึ่ง ภาวนาได้อีกก้าวหนึ่ง พิจารณาได้อีกก้าวหนึ่ง อย่างนี้ถึงจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นปีแล้วปีเล่า บางท่านทันสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง จนป่านนี้ยังไม่ไปไหนเลย เพราะจะก้าวซ้ายอย่างเดียว ก้าวไปก็โดนลากกลับอยู่นั่นแหละ เพราะก้าวได้ก้าวเดียว ฉะนั้น..เริ่มก้าวทางขวาบ้าง ถ้าทำอย่างนี้ความก้าวหน้าถึงจะปรากฏ
อยากจะบอกโยมว่า กว่าจะมานั่งสรุปอะไรที่ง่าย ๆ ให้ฟัง อาตมาใช้เวลามา ๓๐ กว่าปี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๘ นี่จะพ.ศ.๒๕๕๘ อยู่แล้ว อีก ๒ ปีก็จะ ๔๐ ปีแล้ว ทุ่มเททั้งวันทั้งคืน ทุ่มเทกระทั่งรู้ว่าสภาพจิตหลับและตื่นต้องเท่ากัน กิเลสถึงกินเราไม่ได้ ถ้าสภาพจิตหลับส่วนหลับ ตื่นส่วนตื่น กิเลสยังกินเราครึ่งหนึ่ง ดังนั้นแล้ว..ตอนนี้ของโยมให้รักษากำลังใจตัวเองสลับกับพิจารณา เอาความก้าวหน้าให้ได้ก่อน แล้วซักซ้อมสมาธิให้คล่องตัวมากขึ้น จนกระทั่งหลับอยู่ก็รู้ว่าหลับ อะไรเข้ามาตอนนั้นสภาพจิตก็รู้หมด จะได้ป้องกันตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้นจิตของเราถึงจะผ่องใสจากกิเลส
แล้วเราก็เอาความผ่องใสจากกิเลสที่ทำให้ปัญญาเกิดนั้นแหละ ไปเสาะหาวิธีการจะจัดการกับกิเลสต่าง ๆ ที่ห่อหุ้มเราอยู่ ทำอย่างไรจะขัด จะถู จะลอก จะตัดฟันหักทิ้งอย่างไร ก็อยู่ที่วิธีการของแต่ละคน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2013 เมื่อ 17:56
|