สภาพจิตของเราทุกคน ต้นทุนเท่ากับบุคคลที่ทรงฌาน ๒ ละเอียด คือเทียบเท่าอาภัสสราพรหม ต้นทุนเราสูงขนาดนั้นแล้ว แต่ว่าโดนกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม พอกพูนทับมาชั้นแล้วชั้นเล่า ชาติแล้วชาติเล่า จนดำปี๋ มืดตื้อ หาทางไปไม่เจอ เหมือนอย่างกับวัวตาบอดเดินวนหลัก หลุดจากวัฏสงสารไม่ได้สักที
เราก็มาขัดมาถูสภาพจิตใจของเรา ให้ค่อย ๆ ผ่องใสขึ้นมา เริ่มรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว โปรดระมัดระวังสุดชีวิต..! งานที่เราทำมาด้วยความเหนื่อยยาก อย่าให้พังลงไปง่าย ๆ เราไปรับเอาของที่เป็นโทษทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้ามา สภาพจิตของเราก็จะมืดบอดต่อไป แล้วเราก็จะกลายเป็นวัวตาบอด..หลงทางต่อไป
ฉะนั้น...หน้าที่ของการประคับประคองรักษากำลังใจจึงเป็นหน้าที่ ๆ สำคัญที่สุด แต่ต้องมีศิลปะด้วย ว่าการอยู่ในโลกนี้เราจะประคองรักษากำลังใจอย่างไร ถึงจะผ่องใสอยู่ได้นานที่สุด ที่วันนี้ที่เตือนพวกเราก็คือ เราเป็นนักปฏิบัติ ยิ่งทำต้องยิ่งละเอียดขึ้น อย่าให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเขา ถึงแม้ว่าเหมือนกับตัวเขาทำตัวเองก็เถอะ แต่สาเหตุนั้นมาจากเรา ดังนั้น..โปรดเมตตาเขาหน่อยเถิด
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะ รุ่นที่ ๖/๒๕๕๖ ณ วัดท่าขนุน
๒๐ - ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2013 เมื่อ 09:19
|