กราบขออนุญาตจองพื้นที่เพื่อเล่าภาพรวมของงานครับ
(เล่าตามความเป็นจริง มิได้กล่าวกระทบใครนะครับ)
ส่วนที่หนึ่ง : ก่อนเริ่มงาน
ขอย้อนความหลังนะครับ ครั้งหนึ่งผมเคยประสานให้สภาศิลปินฯ นิมนต์พระอาจารย์เล็กไปอธิษฐานจิตที่สนามหลวง
(เมื่อครั้งรัฐบาลภูฏานได้อัญเชิญ
“พระทันตธาตุ (ฟัน) ของพระกัสสปพุทธเจ้า” มาให้คนไทยได้กราบไหว้เป็นการชั่วคราว
ในครั้งนั้นผมไม่สามารถไปได้ แต่ทราบมาว่า
"จัดงานได้ไม่ค่อยดี" โดยเฉพาะการดูแลพระที่นิมนต์มา
(ผมเข้าใจสภาศิลปินฯ นะครับ เพราะเขาระดมทุนกันจัดเอง และไม่ได้ใช้บริษัทรับจ้างจัดกิจกรรม)
*********
กลับมาปัจจุบัน วันที่ผมได้รับการติดต่อจากสภาศิลปินฯ ตอนแรกผมไม่กล้ารับปาก เพราะเดือนกันยายน คือ
เดือนที่ผมวุ่นวายที่สุด เพราะเป็นช่วงปลายปีงบประมาณ แต่ผมกลับมาคิดอีกครั้งว่า
"ในชีวิตนี้จะมีสักกี่ครั้ง ที่จะได้ชวนเพื่อน ๆ มาทำความดีถวายสมเด็จพระสังฆราช"
ผมจึงตัดสินใจว่า
"จะลองนิมนต์พระอาจารย์เล็กดู ถ้าท่านรับเป็นประธาน ผมก็จะทำ ถ้าท่านไม่รับ ผมก็ไม่ทำ"
ผมทราบดีว่า วันที่ ๑๔ - ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ ที่วัดท่าขนุนมีงานทำบุญถวายหลวงปู่สายและจัดบวชเนกขัมมะ
ดังนั้นผมไม่อยากรบกวนพระอาจารย์ เพราะอยากให้ท่านพักผ่อนมาก ๆ
(ทุกคนคงจำได้ว่า เราเคยสัญญากันไว้ว่า เราจะรบกวนขันธ์ของพระอาจารย์ให้น้อยที่สุด เพื่อที่ท่านจะได้อยู่กับพวกเรานาน ๆ)
แต่สุดท้ายผมก็คิดได้ว่า ผมไม่ควรไปตัดสินใจแทนพระอาจารย์ หน้าที่ของผม คือ กราบเรียนปรึกษาและถามท่าน
หากท่านเห็นสมควรเช่นไร เราก็ทำตามที่ท่านบอกมา
หลังจากนั้น ในหัวของผมได้ยินพระราชดำรัสของในหลวง ที่พระราชทานในวันที่พระอาจารย์เล็กรับพัดยศว่า
"ขอพระคุณจงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์
และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในอาราม โดยสมควร จงเจริญสุขสวัสดิ์ในพระพุทธศาสนาเทอญ"
ถึงตรงนี้น้ำตาผมก็ไหลออกมา ผมคิดแค่เพียงว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ พระองค์เป็นพระอาจารย์ของในหลวง
ผมเชื่อว่า ในหลวงคงดีใจที่มีคนรักพระอาจารย์ของท่าน (เหมือนที่พวกเรารักพระอาจารย์เล็กของเรา)
ตอนนี้ในหลวงทรงแข็งแรงแล้ว ดังนั้น..ถ้าเราร่วมใจกันทำความดีในครั้งนี้ ทั้งสองพระองค์ย่อมรับรู้
จากนั้นไม่นานพระอาจารย์เล็กท่านได้ตอบกลับมาว่า
"ได้จ้ะ"
โดยท่านเมตตาแจ้งว่าท่านสะดวกวันจันทร์ที่ ๑๖ ก.ย. ๕๖ เวลา ๑๗.๓๐ น. เป็นต้นไป