เพราะฉะนั้น..ในเรื่องการปฏิบัติ ญาติโยมจะต้องมีลักษณะอย่างนี้ อย่างพวกอาตมาในสมัยนั้น พอทุ่มครึ่งเลิกจากการปฏิบัติธรรม ก็จะมานั่งฉันน้ำปานะกันที่หอระฆัง ตรงหน้าร้านอาหารป้ากิมกี ซึ่งมีห้องยามของพระเวรอยู่ ในเมื่ออยู่ไปอยู่มาก็มีการหาพวกน้ำปานะมาเตรียม ๆ ไว้ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นขิงผง กาแฟอะไรก็ตาม จะเอามารวมกันในนั้น ถ้าเลิกกรรมฐานก็มาอยู่รวมกันในนั้น ถ้าช่วงที่เป็นพระใหม่ ก็มาท่องหนังสือแข่งกันตรงนั้น ถ้าเลยมาแล้วก็มาวิเคราะห์ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมกัน
ในเมื่อมีลักษณะอย่างนี้ จะมีผล ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือทำให้เรารู้ว่า พี่น้องก้าวหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว แล้วเราต้องรีบตะเกียกตะกายตามเขาให้ทัน อีกอย่างหนึ่งก็คือในเรื่องของการปฏิบัติ บางทีเราคิดคนเดียว ทำคนเดียวจะไม่รอบคอบ อาจจะตีความหลักธรรมผิดได้ ต้องอาศัยบุคคลที่เคยผ่านมาก่อน ถ้าชี้ทางให้ รับรองให้ ก็จะง่าย ในเมื่อเป็นดังนั้นก็จะมีการมานั่งวิเคราะห์กัน
อาตมาเองได้อะไรบางอย่างมาจากตรงห้องนั้น จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองซื้อนิยายกำลังภายในเรื่องแส้สะบัดเลือด ปรากฏว่าท่านหนู พระลูกชายของลุงเอี๊ยง ท่านอ่านกำลังภายในเล่มนั้นแหละ นอนอยู่บนเก้าอี้โยก เพื่อนก็ “ขอขิงผงหน่อย” ก็ส่งข้ามไป ทางนี่ก็ “ขอน้ำหน่อย” ก็ส่งข้ามไป ข้ามหัวท่านไปมา ท่านหนูไม่รับรู้อะไรเลยนอกจากหนังสือตรงหน้า อาตมามองแล้ว “เฮ้ย..! นี่ระดับนิโรธสมาบัติเลยนะ” เพียงแต่ใช้ผิดเท่านั้น เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะไปยินดีกับเนื้อหาในหนังสือ แต่ฉันทะความพอใจเหลือล้น วิริยะปักมั่นอยู่ตรงนั้น จิตตะไม่ต้องห่วง จิตจดจ่อแน่วแน่ มีเต็มที่ ขาดวิมังสาอย่างเดียว อิทธิบาทเกือบจะครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย แล้วสุดยอดขนาดนั้นด้วย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2013 เมื่อ 18:32
|