๘. ให้มองทุกอย่างเป็นกรรมฐาน คุมสติสัมปชัญญะ กำหนดรู้ไว้เท่านั้นว่า ทุกอย่างในโลกเข้าสู่พระไตรลักษณ์หมด โลกนี้ทั้งโลกที่สุดแล้วไม่มีอะไรเหลือ อย่าหวังความจีรังยั่งยืนในโลกนี้หรือในไตรภพ มีที่เดียวเท่านั้นที่เที่ยงคือแดนพระนิพพาน
แต่บุคคลที่จักไปดินแดนนี้ได้ จักต้องทำพระนิพพานให้เกิดแก่จิต เพราะพระนิพพานเขาเอาจิตไปกัน จิตที่ตัดกิเลสได้เป็นสมุจเฉทปหานนั่นแหละ คือผู้มีพระนิพพานเป็นที่ไป พระนิพพานเป็นสุขที่สุด เพราะไม่มีชาติภพให้ต้องกลับมาหรือเคลื่อนไปจุติอีก พิจารณาธรรมทั้งหลายที่เข้ามากระทบให้ดี ทุกเรื่องล้วนทำให้เกิดทุกข์ หากเอาเป็นกรรมฐาน จักได้ประโยชน์จากการกระทบนั้นอย่างมหาศาล เพราะถ้าหากจะละซึ่งความโกรธ ก็จักมีคนมายั่วให้โกรธด้วยวิธีการต่าง ๆ หากจิตเราหวั่นไหว โกรธตอบก็สอบตก หากกระทบแล้วปล่อยวางได้ก็สอบได้
ทำนองเดียวกัน คนจักละความโลภ ก็จักมีคนมาล้างผลาญทรัพย์สินที่เราอุตส่าห์อดออมมาให้หมดไป มารผจญตัวนี้จักแรง เผลอ ๆ อาจหมดตัวก็ได้ เป็นการทดสอบกำลังใจว่าตัดโลภได้หรือไม่ ถ้าจิตวางได้ก็จักไม่ห่วงใยในชีวิตมากเกินไป เห็นว่าการเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็พอจักยังอัตภาพให้เป็นไปได้ ถ้าวางไม่ได้ จิตที่เดือดร้อนอยากจักแสวงหาทรัพย์ มาเป็นหลักประกันชีวิตให้อยู่อย่างสุขสบาย ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้
สมบัติของโลกที่เรารักที่สุด ก็คือร่างกายที่จิตเราอาศัยอยู่ชั่วคราวนี้ ก็ยังเอาไปไม่ได้ คนที่หนักอยู่ในความหลงก็จักมีเหตุทำให้ความหลงมากขึ้น เช่น หลงรูป ก็จักมีรูปสวยมามอมเมาทำให้หลง หลงเสียงไพเราะ - หลงกลิ่นหอม - หลงรสอร่อย - หลงสัมผัสที่นุ่มนวล - หลงอารมณ์ตนเอง มาทดสอบอารมณ์จิตอยู่เสมอ นี้เป็นธรรมดาของนักปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา จักต้องได้พบได้เจอ เพราะเป็นของจริง เป็นอริยสัจที่เป็นกฎของกรรมที่จักต้องยอมรับนับถือ
ทุกอย่างจักเป็นความจริง ต้องถูกกระทบก่อนแล้วหมดความหวั่นไหว ลงตัวธรรมดาหมด พิจารณาให้ได้ วางอารมณ์ให้ถูก แล้วแต่ละคนจักได้ประโยชน์ในทางจิต อันส่งผลให้ได้ผลในทางธรรมปฏิบัติมาก
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2014 เมื่อ 17:10
|