แต่ถ้าประเภทถึงเวลาแล้วกลัวกิเลสจะเศร้าหมอง จะฆ่ากิเลสก็สงสาร ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ไม่ต้องหวังที่จะเอาดีกัน เพราะว่ากิเลสเขาไม่เคยปล่อยปละละเว้นเรา แต่เราเองก็มักจะไปปล่อยปละละเว้นกิเลส กิเลสอาศัยร่างกายนี้เป็นที่เกิด เป็นที่อยู่ ถึงเวลาถูกเราทรมานมาก ๆ เข้า อย่างเช่นว่า เดี๋ยวถึงเวลากรรมฐานของเรา เดินจงกรมหน่อยกิเลสก็หงุดหงิด “เดินไปทำไมวะ ยก ๆ ย่าง ๆ เหยียบ ๆ ค่อย ๆ ย่องอยู่นั้นแหละ ไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหนเลย” พยายามที่จะบอกเราให้เลิก เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปทำลายกำลังของเขา
การปฏิบัติธรรม เมื่อทำไปแล้วจะเกิดตบะ คือความร้อนในการเผากิเลส เผามาก ๆ แล้วกิเลสจะตาย เขาก็หลอกให้เราหยุดทุกครั้ง ถึงเวลาถ้าหลอกให้เราหยุดไม่ได้ ท้ายสุดก็ทำท่าจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ แต่ตอนที่จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ เนื่องจากว่ากิเลสอยู่กับเรา เราก็เลยมักจะเข้าใจผิดว่า ไอ้ที่จะตายคือตัวเรา ในเมื่อเราเข้าใจผิดว่าที่จะตายคือตัวเรา เราก็หยุดทุกที กิเลสก็รอดไปทุกครั้งเหมือนกัน
ดังนั้นเราทำความดีทุกครั้งที่ผ่านมา พอใกล้จะดีแล้วมักจะพัง เพราะรู้ไม่เท่าทันมายาของกิเลสที่หลอกลวงเรา สิ่งที่เราจะรู้เท่าทันคือต้องมีปัญญา ปัญญาจะมีได้สมาธิต้องทรงตัว สมาธิจะทรงตัวได้ศีลต้องบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น..เรามีหน้าที่รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ตั้งใจปฏิบัติสมาธิภาวนาไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 04-11-2014 เมื่อ 15:23
|