ฉะนั้น..เรามั่นใจ แต่อย่าไปถือทิฐิ ถ้าถือทิฐินี่เราจะไม่ยอมรับอะไร ส่วนใหญ่แล้วท่านที่เรียนมาสูง ๆ จะเป็นคนประเภทนั้น แบกทิฐิ แบกมานะไม่รู้ตัว หัดฟังเสียงนกเสียงกาบ้าง ใครเขาตักเตือนว่ากล่าว หรือกระทำต่อเราผิดไปจากปกติ ให้รู้จักสอบถามบ้างว่าผิดตรงไหนพลาดตรงไหน เราจะแก้ไขตัวเองได้ แต่ถ้าเราไม่ฟังคำใครเลย จะเหมือนกับในนิทานเซน นักศึกษาคงแก่เรียนไปถามปัญหาธรรมกับท่านอาจารย์นันอิน อาจารย์นันอินรินน้ำชาใส่ถ้วยเลี้ยงเขา เทจนล้นแล้วล้นอีกก็ไม่หยุดเสียที นักศึกษาก็บอกว่าอาจารย์ครับ ชาล้นแล้ว “ก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ” เท่านั้นแหละครับ ถึงบางอ้อเลย ก็ในเมื่อเอ็งทำตัวเป็นชาล้นถ้วย แล้วจะเติมอะไรลงไปได้ ประโยชน์สักนิดก็ไม่มี
พระพุทธเจ้าท่านแบ่งคนเป็น ๔ ประเภท ๑ อุคฆฏิตัญญู ฟังแค่หัวข้อธรรมก็รู้แจ้งแทงตลอด แบบพระสารีบุตร “ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ตถาคตตรัสถึงเหตุและการดับไปของธรรมนั้น” จบเลยครับ..เป็นพระโสดาบัน นี่ผมพูดให้พวกคุณฟังแล้ว..บรรลุแล้วใช่ไหม ? ไม่มีเลย..เออ..เป็นเวรกรรมของกูเอง..!
ประเภทที่ ๒ วิปจิตัญญู อธิบายขยายหัวข้อความให้เข้าใจก็บรรลุมรรคผลได้ ประเภทที่ ๓ เนยยะ น่าสงสารหน่อย ต้องเคี่ยวเข็ญกันเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน วันหนึ่งอย่างน้อย ๔ รอบ เปิดเสียงตามสายกรอกหูแม่..เข้าไป ฟังกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
ประเภทที่ ๔ ปทปรมะ พวกนี้ไม่ใช่คนโง่นะครับ พวกนี้ฉลาดเกินคน ฉลาดแล้วไม่ยอมรับความคิดคนอื่น รากศัพท์บอกไว้ชัดเลยครับ ปทปรมะ แปลว่า มากด้วยบทบาทอย่างยิ่ง พวกท่ามาก พวกคนเมืองกาญจน์ฯ ไล่ตั้งแต่ท่าไม้ ท่าผา ท่าล้อ ท่าเรือ ท่ามะกา ฯลฯ ขึ้นมาจนถึงท่าขนุนนี่แหละ..! พวกนี้ปทปรมะหมด ไม่ฟังคำใคร คนฉลาดมีมาก แต่ถ้าเราทำตัวเป็นพวกฉลาดลักษณะนี้ เราจะเสียประโยชน์ของเราเอง เขาเก็บเกี่ยวอะไรจากคนอื่นไม่ได้ เพราะมานะบังหน้าไปแล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2014 เมื่อ 13:00
|