เรื่องอ่อนนะ..คือมันจะเป็นความลำบาก เป็นความอ่อนเพลียภายในหัวอกของเรานี่ คือสติปัญญามันทำงานอยู่ตรงนี้ สังขารคือทำงานนั่น เข้าใจไหม..มันทำงานอยู่ในนี้ สังขารมันทำงาน สังขารสัญญาที่คาดที่หมาย ที่คิดกับกิเลสจะฆ่ากิเลส มันไปด้วยกันนั่นแหละ แต่เป็นสังขารของมรรค สัญญาของมรรค ไม่เป็นสัญญาของสมุทัย สังขารของสมุทัยเหมือนแต่ก่อน เข้าใจไหมล่ะ แต่มันก็หมุนของมันอยู่นี้
ทีนี้มันก็เหนื่อยล่ะซิ ทำงานอยู่ตลอดเวลา เหนื่อย..ที่นี้เราจะมาพัก พักมันก็ไม่ถอย มันหมุนของมัน เรียกว่าทางแพ้ไม่มี พูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้นนะ เรื่องแพ้ไม่มี เมื่อเรื่องแพ้ไม่มี..มันก็ต้องหมุนของมันเรื่อย อันนี้ก็แจ้ง
‘อู๋ย.. ยังไงกัน กลางวันก็เป็นอย่างนี้ มันจะไม่ตายเหรออย่างนี้ วิตกนะ วิตกวิจารณ์ หือ..ขนาดนี้มันจะไม่ตายเหรอ มันทำไมลำบากลำบนนักหนา’
จนกระทั่งถึงได้ย้อนหลังมาคิด ที่เราเคยคิดค้นเดามาแต่ก่อนด้วยความคาดความหมาย เวลานี้เราลำบากลำบน แต่ก่อนเพราะเรายังไม่ได้รากได้ฐาน แต่เวลาได้รากได้ฐาน จิตมีความละเอียดลออเข้าไปเท่าไร การงานของเราจะค่อยเบาไป ๆ สะดวกสบายไปและพ้นทุกข์ไปเลย มันคาดนะ นั่นนะ.. มันคิดมันด้นมันเดา แต่เวลามันได้เหตุได้ผลของมันมากเท่าไร.. มันยิ่งหมุนของมันใหญ่ มันไม่ได้คิด แต่เวลามันไปเจอจัง ๆ ที่เป็นปัจจุบันตัวเป็นเอง.. มันก็เอามาคิด
‘โห.. ที่เราคาดคิดเอาไว้ ว่าแต่ก่อนเวลาจิตเราหยาบนี้มันก็ต้องทุกข์ลำบาก เวลาจิตละเอียดเข้าไปเท่าไรมันก็ค่อยสบาย ๆ อย่างนี้ มันผิดทั้งเพ เวลามันได้ผลมันยิ่งหมุนของมันใหญ่เลย มันยังไงกัน ๆ คิดแย็บเดียวเท่านั้น เดี๋ยวมันก็หมุนของมันไปอีก ๆ’
จนกระทั่งไม่ไหวแล้วต้องวิ่งขึ้นหาพ่อแม่ - ครูอาจารย์ แต่สำหรับพ่อแม่ครูอาจารย์กับเรานี้ ท่านจะเห็นเหตุผลอะไรไม่ทราบนะ ถ้าหากว่าเป็นไม้ก็ยกมาทั้งท่อนเลย ให้ไปจาระไนเอง ให้ไปเลื่อยเอง ท่านไม่เลื่อยให้ ไม่จาระไนให้ ไม่อธิบายแยกแยะนะ ท่านจะโยนตูมมาให้เลย...”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2015 เมื่อ 19:35
|