ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...?
ตอบ : อันดับแรก ไปหาหมอก่อน หมอบอกอย่างไรให้รักษาอย่างนั้น อันดับที่สอง ถ้าสิ้นสุดความสามารถของหมอแล้ว คราวนี้ก็อยู่ที่เราว่าจะหาคุณประโยชน์จากความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นได้ขนาดไหน
ประการแรก ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ของสภาพร่างกาย เป็นสิ่งที่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับทุกคนได้ง่าย ๆ กว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เห็นทุกข์อย่างแท้จริง ใช้เวลาในการสร้างสมบารมีต่ำสุดก็ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะฉะนั้น..ความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ปรากฏเป็นทุกข์เฉพาะหน้าของเรา จึงเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าจนประมาณไม่ได้ เราเห็นว่าร่างกายมีความเจ็บป่วยเป็นปกติอย่างนี้ ยังอยากได้ใคร่มีอยู่อีกหรือเปล่า ? ลองถามตัวเองดู ถ้าปัญญาถึงเราอาจจะก้าวล่วงจากกองทุกข์ไปได้เลย
ประการที่สอง ถ้ารู้สึกว่าความทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่เราต้องทนแล้วทนเล่า ก็พยายามจับตัวอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออกของเราจนทรงตัวเป็นปกติ ถ้าหากลมหายใจเข้าออกทรงตัว สภาพจิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน เราจะไม่รับรู้ถึงอาการป่วยของร่างกาย เท่ากับว่าระงับเวทนาต่าง ๆ ลงได้ชั่วคราว แต่วิธีที่สองนี้เหมือนอย่างกับเราไปกดเอาไว้
แต่วิธีแรกก็คือถ้าหากเรารู้แจ้งเห็นจริงก็จะก้าวพ้นไปได้เลย หลังจากนั้นเราก็จะรู้ว่าความทุกข์เป็นปกติธรรมดาของร่างกาย สภาพจิตใจยอมรับ ไม่ไปดิ้นรนกระวนกระวายอีก ป่วยก็เหมือนกับไม่ป่วย ไปเลือกเอาว่าจะเอาวิธีไหน อาตมาทำให้ดูแล้ว โยมไปเลียนแบบเอาก็แล้วกัน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2015 เมื่อ 12:03
|