แล้วท่านก็เล่าต่อว่า "ขำตรงที่พ่อปู่ขุนพันธ์ฯ ตามพระขรรค์โสฬสมาทั้งชีวิต ท้ายสุดก็ต้องมาทำให้อาตมาเสียเอง..สะใจจริง ๆ
สมัยนั้นท่านอยากได้มาก แต่ปรากฏว่าของก็สุดที่จะหายาก ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือว่า เสด็จในกรมฯ ท่านเคยใช้พระขรรค์โสฬสทดสอบนักโทษคนหนึ่ง แต่ฟันเขาไม่เข้า อะไรเขาจะสุดยอดขนาดนั้น
นักโทษคนนี้เขาเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ใครรังแกเขา เขาสู้ทุกคน ปรากฏว่าหนังดี คนอื่น ทำอะไรไม่ได้เลย เสด็จในกรมฯ ท่านให้พวกลูกน้องคอยฟังข่าว พอรู้ว่ามีคนประเภทนี้อยู่ก็เสด็จไปหา สอบถามประวัติแล้วพบว่าเขาโดนใส่ความว่าเป็นผู้ร้ายฆ่าคน ประเภทไปขัดหูขัดตาผู้เป็นใหญ่ แล้วเขาทำอะไรไม่ได้ก็ใช้วิธีนี้
เสด็จในกรมฯ ถามว่า "วิชาคงกระพันนี่ลองได้ไหม ?"
เขาบอกว่า "ลองได้"
เสด็จในกรมฯ ก็ถามว่า "จะใช้พระขรรค์นี่นะ ?"
เขาบอกว่า "ได้"
เสด็จในกรมฯ บอกว่า "ถ้าหากว่ามีอันเป็นไปถึงชีวิต ให้มาอาศัยอยู่ในพระขรรค์นี้ จะได้ใช้งานต่อ แล้วอโหสิกรรมให้ด้วย แต่ถ้าลองแล้วไม่เป็นไร จะพยายามทูลขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วจะเอาตัวไปใช้งาน"
เขาก็ตกลง ปรากฏว่าฟันเขาสามที ไม่เข้าเลย ฟันคอด้วย เสด็จในกรมฯ ท่านบอกว่า ขอดูหน่อยว่ามีอะไรที่เป็นของขลัง ปรากฏว่าเขามีรอยสักเป็นรูปดอกบัวเล็ก ๆ อยู่ตรงท้ายทอย ถ้าไม่ชี้ให้เห็นก็ไม่รู้ ซ่อนอยู่ที่ตีนผม
คนที่ขลังขนาดพระขรรค์โสฬสเอาไม่อยู่ก็มีเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่านั่นเขาเป็นคนดี ถ้านึกดูก็คือว่า คนดีประเภทนั้น บรรดาพรหมเทวดาที่รักษาพระขรรค์ก็ไม่อยากทำอะไรเหมือนกัน ที่โบราณเรียกว่าศรศิลป์ไม่กินกัน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2020 เมื่อ 01:54
|