แล้วก็ยังทำให้คนอื่นเขาปรามาสไปถึงครูบาอาจารย์ ปรามาสไปถึงวัดวาอารามและพระศาสนา ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ครูบาอาจารย์สอนมาก็ดี ที่เป็นคำสอนของพุทธศาสนาก็ดี หาประโยชน์ไม่ได้ เพราะว่าตัวเองปฏิบัติมาหลายปีแล้ว กาย วาจา ใจ ยังชั่วอยู่เหมือนเดิม ให้รู้จักหัดสำรวมเอาไว้บ้าง อย่าเป็นอย่างนางปิสุณาวาที ท้ายสุดก็ตายเพราะปากของตัวเอง..!
หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยสอนไว้ว่า “เราจะคิดชั่วอย่างไรก็ตาม ให้ความชั่วนั้นอยู่กับตัวเรา อย่าให้ไหลออกทางปาก อย่าให้ไหลออกทางกายไปแปดเปื้อนคนอื่นเขา” เรื่องพวกนี้เราเป็นนักปฏิบัติต้องสังวรระวังไว้เสมอ ถ้า กาย วาจา ใจ ยังเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นอยู่ ถือว่ายังใช้ไม่ได้
เราไม่ได้มีหน้าที่เป็นครูของใคร ไม่ได้มีหน้าที่ไปสั่งสอนใคร เพราะฉะนั้น..อย่าไปตำหนิด่าว่าใคร เพราะว่าไม่มีประโยชน์เลย มีแต่โทษล้วน ๆ อันดับแรก..กำลังใจของเราก็เสีย เพราะไปจ้องจับผิดเขา อันดับที่สอง..พอตำหนิเขาก็สร้างศัตรูให้เกิดขึ้น อันดับที่สาม..ความแตกความสามัคคีในหมู่คณะก็เกิดขึ้น ถ้าคณะเล็ก ๆ ยังแตกความสามัคคี แล้วประเทศชาติจะอยู่ได้อย่างไร ? ลองทบทวนดูว่าตั้งแต่เราปฏิบัติธรรมมา เราสามารถแก้ไขอะไรที่ไม่ดีของตนเองได้บ้าง ?
เมื่อคืนได้พูดไปแล้วว่า หน้าที่ในการปฏิบัติธรรมของเราความจริงแล้วมีนิดเดียว ก็คือ ขับไล่สิ่งชั่วในใจของเราออกไป และระมัดระวังไว้อย่าให้ความชั่วเข้ามา สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา แล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป หน้าที่ของเรามีแค่นี้เอง แต่เรามักจะทำหน้าที่ผิดฝาผิดตัวอยู่เสมอ ทำในสิ่งที่เราคิดว่าดี แต่ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าดี ถ้าเห็นคนอื่นเขาจะพูดชั่วทำชั่วอย่างไร เราก็ไม่ต้องไปยินดียินร้ายกับเขา เดินหลีกไปเสีย หุบปากเอาไว้ เราก็ไม่ต้องไปสร้างเวรสร้างกรรมร่วมกับใคร ไม่ต้องไปยินดีและโมทนากับความชั่วของใคร
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2015 เมื่อ 12:35
|