ดูแบบคำตอบเดียว
  #290  
เก่า 19-08-2015, 11:48
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,889 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่มั่นยกเรื่องหมูเป็นคติ

“.. บางทีพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านพูดมีตลกขบขัน อยู่กับท่านมันหากหัวเราะไม่ได้.. เราจะตาย บางทีกลั้นหัวเราะไม่อยู่ มันอดหัวเราะไม่ได้นะ มันทำไมเป็นอย่างนั้น ท่านพูดแปลก ๆ หากเป็นคติด้วยขบขันด้วยอยู่ในตัวนี่แหละ

วันหนึ่งเรามันดื้อสิ หมูตัวขนาดกระโถน แต่มันอ้วน ๆ มันเดินไปขุดดินขึ้นมาริมถนน จนเป็นร่อง มันก็เอาจมูกมันขุดหญ้าแห้วหมูกินเพลิน ท่านก็เดินบิณฑบาตไปทางนั้น พูดไปพลาง.. มองหางตาแย็บมาหาเรา

‘นี่เห็นไหม หมูเขาไม่มีจอบมีเสียบ เขายังขุดได้ เห็นไหม เขาไม่ยอมตาย เขาขุดกินหญ้าแห้วหมูเห็นไหม พระเราจะไปโง่อะไรนักหนา ปัญญามี ขุดลงไปสิ!


ท่านว่าอย่างนั้น อุบายของท่านออกอย่างนั้น อันนี้พอผ่านไปแล้ว เราก็ไปเจอหมูตัวถัดกันไป มันกำลังเอาจมูกขุดดินกินหญ้าแห้วหมู เราไม่ได้ตั้งเจตนาอะไรนะ เราเดินไปนั่น เวลามันขุดอยู่นี่มันจะทำยังไง เราจึงสอดเท้าเข้าไปใต้ท้อง มันตื่นกระโดดหนีตกลงร่อง ตกไปแล้วมันไม่แล้วยังหงายท้องขาชี้ฟ้า

ท่านมองมา “มันเป็นอะไร มันเป็นอะไร ๆ”

เราไม่ทราบว่าจะพูดยังไง มันขบขันนี่สิ เรื่องมันขบขันนะ “ว่าแต่พระไม่มีปัญญา บทเวลาหมูตัวมีปัญญาตกไปงี้ หงายท้อง” มันอดหัวเราะไม่ได้

ทีนี้ถึงเวลาให้พร ท่านเป็นองค์ ยถาฯ สัพพีฯ ส่วนเราเป็นคนรับสัพพีฯ พอถึงคำว่า สัพพีฯ เรารับไม่ได้เราก็นิ่ง กลั้นหัวเราะ จะรับได้อย่างไรมันคอยจะพุ่งออกมาอยู่นี่ (หัวเราะ) เราก็เลยรับไม่ได้นี่นะ ท่านก็สัพพีคนเดียว หมู่เพื่อนก็เลยรับทางโน้น เราก็เลยสัพพีไม่ได้เลยนะ ทีนี้พอพ้นหมู่บ้านแล้ว ท่านก็ว่า “ทำไมขึ้น ยถาฯ ให้ สัพพีฯ ไม่เห็นรับ”

“ผมอยากหัวเราะ มันขำจะตาย”

“หึ! เท่านั้นก็อยากหัว (หัวเราะ)” ท่านว่า

มันขบขันนะ เพราะท่านพูดท่านไม่มีอะไรนี่ ไอ้เรามันเป็นบ้านี่ อดหัวเราะไม่ได้ ที่เราทำหมูไม่ใช่อะไรนะ เราทำด้วยความรักหมูต่างหาก เราไม่ได้ทำความแกล้งท่านอะไร แม้นเม็ดทรายหนึ่งก็ไม่มี แต่นี่เราพูดสนุกเฉย ๆ ทำไมมันถึงฉลาดนัก หมูเรานี่นะ เหมือนลักษณะอย่างนั้น แต่ความจริง เราไม่มีเจตนาอย่างนั้น คือมันอ้วนมันน่ารักนี่

นั่นล่ะ เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ขบขันจะตาย ท่านมีอุบายแปลก ๆ ที่เราไม่เคยคิดเคยคาดนะ ไปเจออะไรนี่.. จะออกมาปุ๊บ ๆ เป็นคติทั้งนั้น นี่เป็นนิสัยของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น สมกับท่านเป็นครูเป็นอาจารย์

คำที่ว่า “ศาสดา” ไม่ใช่ขึ้นบนธรรมมาสน์นั่งเทศน์แล้วถึงจะว่าศาสดานะ บทอากัปกิริยาทุกอย่าง ความเคลื่อนไหวไปมาขององค์ศาสดานั่นแหละ คือครูเอกนะ เป็นคติ จับมาเป็นคติได้หมดเลย ไม่จำเป็นจะต้องตั้งหน้าตั้งตาเทศน์ ให้การอบรมสั่งสอนถึงจะว่าเป็นศาสดา ความเคลื่อนไหวไปมาขององค์ศาสดานั่นล่ะ คือครูของโลกตลอด ยึดได้หมด เป็นคติ

อันนี้พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นก็เหมือนกัน เคลื่อนไหวอะไรออกไปมีแต่เป็นคติ พูดออกมาแย็บ ๆ หนึ่งก็มีคติเตือนใจ บางทีเวลาท่านเปิดเต็มที่ ท่านบอกว่า “ถ้าจะสมมติ เอาบริเวณที่เขาล้อมรั้วของวัดนี้ มันกว้างขนาดไหน คนเต็มทั่วโลกนี้ สู้จิตวิญญาณในบริเวณวัดนี้เท่านั้น.. ไม่ได้

คือท่านยกเอาคน เฉพาะคนทั้งหมดทั้งโลกนี้ ไม่รวมสัตว์นะ ก็ยังสู้จิตวิญญาณในวงวัดนี้ไม่ได้ ท่านว่าอย่างนี้ นั่นลึกลับมาแต่ไหน ลึกลับสำหรับสายตาคน แต่ไม่ลึกลับสำหรับความจริงต่อความจริง ความจริงต่อความจริงคืออะไร ? คือธรรมชาติที่รู้ ก็รู้ตามความจริง...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-08-2015 เมื่อ 14:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา