ดูแบบคำตอบเดียว
  #304  
เก่า 16-11-2015, 12:28
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,889 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระนางพิมพา

คุณยายกั้งเป็นตัวอย่างสตรีผู้หนึ่งที่บรรลุธรรมในสมัยหลวงปู่มั่น ซึ่งในสมัยพุทธกาลมีสตรีที่บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก ขอยกตัวอย่างพระธรรมเทศนาขององค์หลวงตาเกี่ยวกับพระนางพิมพา ซึ่งเป็นสตรีผู้รู้ธรรมเห็นธรรมผู้หนึ่งในสมัยพุทธกาล ดังนี้

“...พระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพาที่สร้างบารมีด้วยกัน นั่นละ...เป็นอันเดียวกันมาตลอด ตั้งแต่สร้างพระบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ไปเกิดในภพใดชาติใด ก็ต้องไปเกิดพบกัน ๆ เป็นคู่บารมีกันมาจนได้ตลอดเลย นี่ละ..ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน เวลาพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาแล้ว พระนางพิมพาก็ตามเสด็จ เห็นไหม .. เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชนั้น ก็ทรงเล็งเห็นถึงเรื่องโลกมีคุณค่าขนาดไหน พระชายามีคุณค่าขนาดไหนก็คิด เมื่อเทียบกับประโยชน์ของโลกแล้ว พระชายานี้ก็เท่ากับเม็ดหินเม็ดทราย ฟังซิ...กว้างขวางขนาดไหน.. ประโยชน์ของโลก โลกสามแดนโลกธาตุ เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เปรต ผี ประเภทต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุ.. จึงต้องยอมเสียสละ จะลาพระชายาก็ไม่ลา ลูกก็ติดอยู่กับอกแม่ ถ้าไปชมลูก แม่มันตื่นขึ้นมากอดคอก็เสร็จเลย จะไปไหน..สิทธัตถะ ? มัดคอเข้าเรื่อย พูดคำไหนมัดเข้าเรื่อย ๆ ... จึงต้องเสียสละออกไป ไปบำเพ็ญอยู่ ๖ ปีนั้น ..

พระราชบิดาทรงทูลอาราธนาไปเสวยพระกระยาหารที่พระตำหนัก ดูว่าพระติดตามไปตั้ง ๒ หมื่นนะ ฟังซิ...พอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รับสั่ง พระสงฆ์ ๒ หมื่นนั่นก็กลับกันไปหมดแล้ว ส่วนพระองค์กับพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ยังอยู่ ๓ พระองค์จะไปเยี่ยมพิมพา แล้วพอดีก็ได้รับคำเผดียงจากพระราชบิดาอีก

‘โอ๊ย.. พระนางพิมพาเป็นคนที่ดีมาก หาไม่ได้แล้ว’ นี่ปู่ชมลูกสะใภ้เข้าใจไหม


พระนางพิมพานี้หายากแล้ว ไม่มีใครเหมือน นี่มาถึงระยะนี้แล้วจะไม่ไปโปรดไปเยี่ยมพิมพาบ้างเหรอ ? ถึงขนาดที่มาฉันนี่แล้ว พระตำหนักพระนางพิมพาก็อยู่ข้าง ๆ นั่น’
ทางนั้นไม่กล้าออกมา พระนางพิมพานะ คนจะมากขนาดไหนไม่กล้าออกมา


พอทูลเผดียงอย่างนั้น พระองค์ก็รับสั่งกับพระว่า ‘สารีบุตรกับโมคคัลลาน์ไปด้วย เราจะไปเยี่ยมพิมพา’ ครั้นเข้าไปแล้วกำชับ เพราะสายเกี่ยวโยงกันมีความแน่นหนามั่นคงมามากน้อยเพียงไร นานแสนนานขนาดไหน... ‘หากว่าพิมพาจะมาทำอะไรกับเราก็ตาม สารีบุตร โมคคัลลาน์นี้ ให้เฉยเป็นแบบหูหนวกตาบอดไปเลย นางพิมพาจะมาทำอะไร ๆ ก็ตาม ไม่ให้สนใจ ให้ทำตามพระอัธยาศัยของพิมพา ซึ่งมีความสนิทสนม ความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาตั้งแต่กัปตั้งกัลป์แล้ว วาระนี้เป็นวาระที่จะแสดงทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นชัดเจน ความหมายว่าอย่างนั้น แล้วเธอจะทำอะไรก็ช่าง อย่าไปสนใจ

พอพระองค์เสด็จเข้าไปที่รับแขก ทางนี้ก็ไปทูลพระนางพิมพาว่า พระลูกเจ้าเสด็จมาถึงแล้ว เวลานี้ประทับอยู่ที่นั้น พอเสด็จออกมาปรี่เข้าเลย...เห็นไหมล่ะ ? กอดพันเลยทีเดียว เห็นไหมล่ะ ? รู้เรื่องอะไรไหม ? สนใจอะไรไหม ? อำนาจแห่งบุพเพนิวาสชาติปางก่อน เคยเกี่ยวโยงกันมาแน่นหนาขนาดไหน เกินกว่าที่จะมาอ้ำมาอาย มาอะไรกับกิริยาท่าทางของโลกสมมุตินี้เพียงเท่านั้น สิ่งที่หนักหน่วงถ่วงจิตใจมากี่กัปกี่กัลป์ คราวนี้เข้าด้ายเข้าเข็มแล้วก็ประจักษ์อยู่ในหัวใจ พอมาก็เข้าสวมกอดเลย พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ พระองค์ก็เฉยไม่ได้สนใจ มากอดทางนี้เฉย ก็พระจิตของพระพุทธเจ้าเล็งญาณดูตลอดเวลา ถึงวาระไหนควรจะปฏิบัติต่อกันอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าทรงทราบตลอดเวลา แล้วปล่อยให้นางพิมพาทำให้สมใจที่รัก พูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้น แล้วก็ทรงแสดงย่อ ๆ ว่า

‘นี่เป็นวาระของเราที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ไปด้วยกันแล้ว ก็แสดงย่อ ๆ ออกมา เราอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายออกบวชมาแล้ว ก็ได้สำเร็จมรรคผลขึ้นมาเต็มกำลัง


ทีนี้ก็จะมาถึงนางละนะ คือความหมายว่านางนั้นคืออะไรของเรา ความหมายก็พูดย่อ ๆ แสดง ทีนี้จะเอากันไปให้พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง.. ก็สอนทางนั้นก็ค่อยได้สติ ที่กอดรัดอยู่นั้นเป็นไปเองนะ ค่อยถอยตัวออกเอง นั่นละ...ธรรมเข้า ค่อยถอยตัวออกเอง จนกลายเป็นประทับนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามมาก ทางนี้ก็แสดงธรรมให้ฟัง เกิดความเชื่อความเลื่อมใสถึงใจเลย นั่นเป็นปฐมฤกษ์ จากนั้นก็สำเร็จโสดาฯ สกิทาฯ เรื่อยไป เราไม่พูดไปมากละ

นี่คือความผูกพันเป็นอย่างนั้นแหละ เป็นมาตั้งแต่ก่อน พระองค์ทรงทราบหมด พวกเราไม่ทราบจะว่ายังไง ความเป็นคนดี ความเป็นผู้ที่จะทำประโยชน์ให้โลกมากมาย จึงต้องชั่งต้องตวง ประโยชน์กับพระนางพิมพาไม่มากเท่ากับประโยชน์แก่สัตว์โลกทั่ว ๆ ไป จึงต้องสละพระนางพิมพา แต่สละออกไปเพื่อจะเอา ไม่ได้สละเพื่อจะปัดทิ้ง สละไปเสียก่อน ได้แล้วก็มาเอากันไป...เห็นไหมล่ะ ? ก็อย่างนี้ละ..นี่..ความดี..พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเคยสืบต่อเกี่ยวเนื่องกันด้วยคุณงามความดี เป็นอวัยวะเดียวกัน เป็นจิตใจดวงเดียวกันแล้ว เกิดในภพใดชาติใดไม่ต้องบอก

ปุพเพ สันนิวาเสนะ ปัจจุปันนะ หิเตนะ วา เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลังวะ ยะโถทะเก

บุพเพนิวาสชาติปางก่อน เป็นสิ่งที่สนิทสนมกลมกลืนกันมา ไม่มีใครแยกได้เลย พอพบกันปั๊บมันเป็นของมันเอง นี่คือความเคยชิน เป็นมาอย่างนี้ จากนั้นมาอยู่ด้วยกันก็บำรุงกันในปัจจุบัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ยิ่งมีความแน่นหนามีความอบอุ่นมากขึ้น ๆ ท่านจึงเทียบเหมือนกับว่าดอกบัว กอบัวที่ได้รับเปือกตมเปือกโคลนที่หล่อเลี้ยงแล้ว มันก็มีความชื่นบานขึ้นไปโดยลำดับ อันนี้การมาอยู่ด้วยกัน ได้รับความซื่อสัตย์สุจริต ความฝากเป็นฝากตายต่อกัน ก็ต่างฝ่ายต่างเป็นเครื่องบำรุงน้ำใจซึ่งกันและกัน สนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป แปลในธรรม นี่ละ...ที่ว่าดอกบัวที่เกิดในโคลนตม โคลนตมแลหล่อเลี้ยงดอกบัวให้ชุ่มเย็น ใครที่มาเกิดด้วยกันในวงวัฏวนนี้ ก็เหมือนเกิดในเปือกตมแล้วต่างคนต่างทำความดี ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน แล้วก็เป็นอันเดียวกันไปเลย สุดท้ายก็ยกกันขึ้น อย่างพระนางพิมพากับพระพุทธเจ้า..เห็นไหมล่ะ..?”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-11-2015 เมื่อ 16:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา