พระอาจารย์กล่าวว่า "ให้สังเกตว่าวัดท่าขนุนนี้ไม่มีเณร เพราะว่าไม่มีโทรทัศน์ให้เขาดู ทันทีที่อาตมาเป็นเจ้าอาวาสก็สั่งเลย โทรทัศน์ทุกเครื่องให้อันตรธานจากวัดไปภายในวันนี้ ถ้าหากว่ายังอยู่ เจ้าของก็ต้องไปพร้อมกับโทรทัศน์นั่นแหละ...!
อาตมายืนยันได้ ไม่ดูโทรทัศน์รับรองว่าไม่ตาย มีเด็กอยู่คนหนึ่งบอกว่า “หลวงตา...หนูอยู่วัดไม่ได้หรอก ไม่มีโทรทัศน์ดู หนูต้องตายแน่ ๆ เลย” ยังไม่ได้ลองสักหน่อย ยืนยันว่าจะตายแล้ว เลยบอกกับเขาว่า “หลวงตาไม่ได้ดูมาปีนี้เป็นปีที่ ๓๓ แล้ว ไม่เห็นจะตายเลย” ๓๓ ปีที่หย่าขาดจากโทรทัศน์ ไม่เห็นถ่านไฟเก่าจะกำเริบเลย
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเสนามาร คือเครื่องมืออย่างหนึ่งที่มารใช้ดึงเราให้อยู่ติดกับโลก สิ่งที่จำเป็นของเราก็คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค มีแค่นี้แหละ โทรศัพท์มือถือไม่จำเป็น รถยนต์ไม่จำเป็น ขอยืนยันว่าไม่จำเป็น สมัยอาตมาเด็ก ๆ เขาเดินกันข้ามทุ่ง ข้ามหมู่บ้าน ข้ามตำบล ไปส่งข่าวให้พี่น้องเพื่อนฝูงรู้ว่าที่บ้านจะมีงานอะไร วันไหน เดือนไหน ปีไหน ถึงเวลาเขาก็มาร่วมงานกัน สมัยนี้ยกโทรศัพท์ทีเดียวไปทั่วโลกภายใน ๓ วินาที
ไม่รู้สึกบ้างเลยหรือว่าทำไมความผูกพันเหลือน้อยลงทุกที ๆ ขนาดนั่งหันหลังชนกันยังกดไลน์คุยกัน หันไปคุยกันไม่ได้หรือ ? น่าอนาถไปหน่อย จริง ๆ จะว่าไปแล้วก็เป็นการฝึกภาษาอย่างหนึ่ง แต่ภาษาในไลน์หรือว่าอินเตอร์เน็ตก็อุบาทว์มาก ๆ เลย สร้างสรรค์เกินไป จนกระทั่งบางทีอาตมาอ่านแล้วเครียด ตกลงว่าสอบตกภาษาไทยหรือเก่งกันแน่ ? เพราะคำอุบาทว์ ๆ ดันใช้กันได้คล่องมากเลย...!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2016 เมื่อ 02:51
|