เมื่อเสร็จงานพิธีศพหลวงปู่มั่น พระเณรหลายสิบรูปต่างคอยติดตามท่านอยู่ตลอด แม้ท่านจะพยายามหลบหลีกปลีกตัวหนีไปทางอื่น ด้วยเพราะเป็นระยะที่ต้องการอยู่ลำพังคนเดียว แต่ก็มีหมู่เพื่อนคอยสืบรอยติดตามไปตลอดเวลา แทบจะทุกสถานที่ เพราะเพิ่งขาดร่มโพธิ์ร่มไทรคือหลวงปู่มั่นไปไม่นานนี้ เดี๋ยวองค์นี้ตามมา สักเดี๋ยวองค์นั้นตามมาอีกแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดในระยะนั้น ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ระยะนี้ว่า
“... ถึงระยะที่จะอยู่กับหมู่เพื่อนไม่ได้... มันอยู่ไม่ได้จริง ๆ เสียเวล่ำเวลา ใครมายุ่งไม่ได้นะ คิดดูสิ ไปบิณฑบาตที่ไหน หมู่บ้านใหญ่ ๆ ไม่อยู่ ไปหาอยู่บ้าน ๕ – ๖ หลังคาเรือน... บ้านใหญ่ไม่เอา ถ้ายิ่งบ้านไหนไปแล้วเขารุมมาหา โอ๋ย.. บ้านนี้ไม่ได้เรื่องแน่ นั่น.. เขาจะมายุ่งเราจนหาเวลาภาวนาไม่ได้ ไม่เอา
หนีไปหาอยู่หมู่บ้าน ๓ – ๔ หลังคาเรือน บิณฑบาตกับเขาพอมีชีวิตบำเพ็ญธรรมให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่านั้น ไปบิณฑบาตก็ทำความเพียรตลอด ยุ่งกับใครเมื่อไร ทั้งไปทั้งกลับมีแต่เรื่องความเพียรเหมือนกับเดินจงกรม มันเป็นอยู่ในหลักธรรมชาติของมันเอง เวลามันหมุนของมัน เห็นชัด ๆ อยู่ในหัวใจว่า ‘อยู่กับใครไม่ได้’
นี่มันก็รู้อยู่กับใจเราเอง ระยะหนึ่งมันบอกว่า ‘อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องได้วิ่งหาครูหาอาจารย์ ไม่งั้นจมแน่ ๆ ‘
มันรู้ชัดอยู่ก็ต้องได้เข้าหาครูหาอาจารย์ ถึงวาระที่จะอยู่คนเดียวนี่.. จะอยู่กับใครไม่ได้แล้วมันก็รู้อีก ใครติดตามไม่ได้นะ โอ๋ย ! ขโมยหนีจากพระจากเณรเหมือนขโมย ขโมยใหญ่ ๆ เลยนี่ โน่น...หัวโจรหัวโจกนั่น ขโมยหนีกลางคืน กลางวันหมู่เพื่อนจะเห็น ถ้าพอไปกลางวันได้ก็ไป พอไปกลางคืนได้ก็ไปกลางคืน ดึกดื่นไม่ว่านะ หนีจากหมู่เพื่อน มันไม่สบาย มันอยู่ไม่ได้ ก็งานของเราเป็นอยู่อย่างนี้ มีเวลาว่างเสียเมื่อไร อยู่อย่างนี้ตลอด แล้วจะไปอ้าปากพูดคุยกับคนนั้น อ้าปากคุยกับคนนี้ได้ยังไง งานเต็มมืออยู่นี่ นั่นถึงวาระมันเป็นในหัวใจรู้เอง...”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2016 เมื่อ 20:22
|