พระอาจารย์กล่าวว่า “อะไรที่พอดีก็ก่อให้เกิดประโยชน์ ฝนพอดีพืชพันธุ์ธัญญาหารก็อุดมสมบูรณ์ ฝนมากเกินไปก็เดือดร้อน น้อยเกินไปก็เดือดร้อน หนาวแต่พอดีก็สดชื่นรื่นเริง หนาวมากเกินไปก็งอก่องอขิง ถ้าอบอุ่นก็กำลังดี ถ้าร้อนมากก็เดือดร้อนอีก
เราจะเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นสัจธรรมจริง ๆ คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพอเหมาะพอดีจึงจะก่อประโยชน์สูงสุด เพราะฉะนั้น...ศาสนาพุทธจึงเป็นของแท้ ทนต่อการพิสูจน์ แต่จำเป็นต้องมีการฝึกปฏิบัติอย่างจริง ๆ จัง ๆ ให้เกิดผล ถ้าไม่เกิดผลก็คือตัวเองยังพิสูจน์ไม่ได้ แล้วจะไปท้าทายให้คนอื่นพิสูจน์ได้อย่างไร ?
พระพุทธเจ้าทรงประกอบไปด้วยเวสารัชชกรณธรรมทั้ง ๔ คือพระองค์ท่านปฏิญาณว่าหมดกิเลสก็หมดกิเลสจริง ๆ ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้ พระองค์ท่านปฏิญาณว่าตรัสรู้ธรรมก็รู้จริง ๆ ไม่มีใครคัดค้านได้ พระองค์ท่านตรัสว่าธรรมอันใดเป็นอันตรายต่อการดำเนินชีวิตก็เป็นอันตรายจริง ๆ ไม่มีใครคัดค้านได้ พระองค์ท่านตรัสว่าหลักธรรมใดเป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพานก็เป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพานจริง ๆ ไม่มีใครคัดค้านได้
เมื่อพระองค์ท่านประกอบด้วยฐานะทั้ง ๔ นี้ จึงไม่ได้หวั่นไหวแม้ว่าอยู่ในสมาคมใด ๆ ก็ตาม พระองค์ท่านตรัสว่าแม้จะนั่งอยู่ในหมู่มหาพรหม หมู่เทวดาทั้งหลาย ในหมู่ของกษัตริย์ทั้งหลาย หรือในหมู่พราหมณ์มหาศาลทั้งหลายก็ตาม พระองค์ท่านก็ไม่ได้มีความหวั่นไหวใด ๆ เพราะว่าพระองค์ท่านเป็นผู้ที่รู้จริง พูดจริง"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2016 เมื่อ 16:10
|