ขอย้ำเตือนเรื่องเก่า ๆ ที่พูดทุกครั้ง ก็คืออย่ารอให้มีการจัดปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยมานั่งภาวนา มาเดินจงกรม ทุกอิริยาบถของเราต้องใช้ในการภาวนาได้ อย่างที่หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงท่านกล่าวว่า ทรงฌานใช้งานเพราะว่าบุคคลที่ทรงฌานจริง ๆ สภาพจิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน จะไม่รับรู้อาการทางร่างกาย
แต่บุคคลที่ฝึกฝนจนกระทั่งมีความคล่องตัว จะเข้าเมื่อไรจะออกเมื่อไรก็ได้ เรียกว่ามีสมาปัชชนวสี คือ ความคล่องตัวในการเข้าสมาธิ มีวุฏฐานวสี คือ ความคล่องตัวในการออกจากสมาธิ บุคคลประเภทนั้นสามารถที่จะทรงฌานและทำสิ่งต่าง ๆ ไปพร้อมกันได้เหมือนคนปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่จะสังเกตได้ง่าย ก็คือ สิ่งที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นพูดหรือทำจะเป็นอรรถเป็นธรรมทั้งนั้น อะไรที่นอกทุ่งนอกท่าชวนให้ผิดศีลผิดธรรมท่านจะไม่เอาด้วย
ดังนั้น...พวกเราเมื่อฝึกปฏิบัติแล้วต้องซักซ้อมให้คล่องตัว สามารถที่จะใช้งานได้ทุกวินาทีที่ต้องการ ทำให้สภาพจิตของเราเข้าถึงสมาธิระดับที่ปลอดกิเลสได้ในทันทีทันใดที่ต้องการ เมื่อรู้ว่าราคะเกิดขึ้นวิ่งเข้าหาสมาธิ โทสะเกิดขึ้นวิ่งเข้าหาสมาธิ โมหะเกิดขึ้นวิ่งเข้าหาสมาธิ ถามว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้น แล้วจะวิ่งเข้าหาสมาธิได้อย่างไร ? แรกเริ่มที่เกิดกำลังของกิเลสยังต่ำอยู่ ถ้าสมาธิของเราทรงตัว มีกำลังสูงกว่า ก็สามารถที่ฝ่ากองกิเลสเข้าไปสู่ที่มั่นของเราได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2016 เมื่อ 11:58
|