การรักษาศีล ๘ และโทษของอาหารมื้อเย็น
ถาม : ถ้าเกิดถือศีลแปดแล้วข้อ ๖, ๗, ๘ นี่พร่องเล็กน้อย กับถือศีลห้าแล้วสมบูรณ์อย่างนี้ อันไหนกำไรกว่ากัน ?
ตอบ : ศีลแปดกำไรกว่า เพราะบกพร่องเล็กน้อยก็จริง แต่ส่วนดีมีมากกว่า ศีลแปดคุมศีลห้าอยู่แล้ว มากกว่าอยู่แล้ว จริง ๆ แล้วศีลแปดมีเก้าข้อ นัจจะคีตะวาฯ กับมาลาคันธะฯ สองข้อนี้เขารวบเป็นข้อเดียวกัน ค่อย ๆ ทำไป เดี๋ยวเกิดความเคยชินก็จะทรงตัวไปได้เอง
ถาม : ตรงข้อแปดนะคะ อุจจาสะยะนะฯ เวลาที่เรานอน นอนเป็นที่นอนนุ่ม ถ้าอย่างเราปวดหลังละคะ เรานอนกับพื้นธรรมดาแล้วเราปวดหลัง ?
ตอบ : นอนไปเถอะ หนาสักคืบหนึ่งก็ได้ ที่นอนสูงที่นอนใหญ่ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี เขาหมายความตามอรรถกถาท่านบอกว่าคืบหนึ่ง คืบหนึ่งสมัยก่อนคือ ๑๒ นิ้ว เป็นฟุตเลย จริง ๆ แล้วที่ท่านห้าม เพราะท่านกลัวว่าจะติดสัมผัส คือว่าถึงเวลาแล้วจะติดเย็นติดร้อน อ่อนแข็ง ไม่ได้ไม่มีก็ดิ้นรนต้องให้ได้มา จิตใจก็จะไปฟุ้งซ่านถึงตรงจุดนั้น ถ้าไม่ติด..เรารู้ว่าร่างกายของเราเจ็บป่วยอยู่ ไม่ใช่ข้ออ้างที่เราอ้างขึ้นมาเพื่อที่จะติดสุขตรงนั้น ก็นอนไปเถอะ
ถาม : อย่างนั้นเราก็สามารถอย่างเช่นว่า สมาทานศีลแปดตั้งแต่เช้าถึงเย็น แล้วเย็นเป็นคนที่ต้องกินข้าวทุกมื้อ แล้วก็ต้องกินข้าวเย็น ก็คือลาแล้วก็กินข้าวได้ ?
ตอบ : อ๋อ..ไม่ต้องลาหรอก อนุญาตให้กินได้เลย รักษาเป็นเวลายังดีกว่าไม่รักษาเลย
ถาม : แล้วก็สมาทานศีล ?
ตอบ : สมัยก่อนบวชอาตมาเคยเป็นอย่างนี้อยู่ช่วงหนึ่ง คือมาไล่ไปไล่มา เอ๊ะ..ของเรานี่ศีลแปดชัด ๆ เลย เพียงแต่เสียเวลาไปกินข้าวเย็นอยู่สิบนาทีแค่นั้นเอง เลยตัดสินใจไม่กินตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ก็เป็นอันว่าจบ แม้แต่ประเภทที่ว่าวินาที สองวินาทีก็ได้ เพราะว่าอานุภาพของศีลแปดสูงกว่าศีลห้ามาก อานิสงส์มากกว่า รักษาขนาดนั้นของเรานี่ ถ้ายังไม่ละอาหารเย็น เท่ากับว่าเราขาดแค่ครู่เดียวในแต่ละวัน
ถาม : ไม่ต้องลาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องลาหรอก ถึงเวลาก็ขออนุญาตกินครู่หนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องสมาทานใหม่หรอก เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไรก็งดเว้นต่อไป แต่ถ้าจะเอาจริงเอาจังก็ต้องเว้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเล่นสนุก นึกจะกินข้าวเย็นก็ลามากิน จะมีโทษปรามาสพระรัตนตรัย..!
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-11-2016 เมื่อ 13:30
|