เมื่อภาวนาไปจนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่ รู้สึกว่าไปต่อไม่ได้แล้ว เมื่อกำลังคลายใจตัวออกมา ให้รีบหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา อย่างเช่นว่าการดูว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด
ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เสื่อมสลายตายพัง กลับคืนเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม ถ้าเราไม่หาวิปัสสนาญาณให้คิด สภาพจิตที่มีกำลังจากการภาวนา จะเอากำลังเหล่านั้นไปฟุ้งซ่าน และจะทำฟุ้งซ่านไปใหญ่โตชนิดหยุดไม่ได้ ห้ามไม่อยู่
ดังนั้นทุกครั้งที่ภาวนาแล้ว เมื่อคลายกำลังใจออกมาให้พิจารณาไว้เสมอ เมื่อพิจารณาจนสภาพจิตทรงตัว ก็ย้อนกลับไปภาวนาใหม่ ต้องทำอย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา จึงจะมีความก้าวหน้าตามที่เราต้องการ
ลำดับต่อไปให้ทุกคนภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๐
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-03-2017 เมื่อ 11:36
|