ในเรื่องของสมถกรรมฐานหรือการปฏิบัติสมาธิภาวนานั้น ต้องตั้งเป้าเอาไว้ที่ปฐมฌาน ไม่ต้องไปหวังถึงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ถ้าได้ถึงปฐมฌานถือว่าเป็นกำไร เพราะว่ากำลังของปฐมฌานนั้น เพียงพอที่จะตัดกิเลสในระดับของพระโสดาบันได้แล้ว
เมื่อเราทำสมาธิ สร้างสมาธิให้เกิดแล้ว ก็เอากำลังใจนั้นมาพินิจพิจารณาด้วยปัญญาที่ไม่ต้องมากนัก คือ เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ต้องตาย เราเกิดมาแล้วตายแน่นอน แต่ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแล้วพบกับความทุกข์ยากเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ถ้าตายเมื่อไรเราต้องการไปพระนิพพานแห่งเดียว นี่คือเป้าหมายที่ชัดเจนที่สุด
ส่วนวิธีการประกอบอื่น ๆ ก็คือ เราต้องมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราต้องรักษาศีลตามสภาพของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล แล้วพยายามสร้างสมาธิภาวนาของเราจนกระทั่งทรงตัวเป็นปฐมฌานได้
ใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วแปรปรวนไป ในที่สุดก็ตายลง ในระหว่างดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่หาความเที่ยงไม่ได้ มีแต่ความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีก เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน
แล้วส่งกำลังใจของเราเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรารักเราชอบมากที่สุด รักษากำลังใจของเราให้อยู่ตรงนั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เมื่อกำลังใจคลายตัวออกมา เราก็มาพินิจพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราของสภาพร่างกายนี้ ให้ทำสลับไปสลับมาเช่นนี้ จึงจะเกิดผลดีต่อการปฏิบัติธรรมของพวกเรา
ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2017 เมื่อ 15:16
|