พระโสดาบันร้องไห้ไปกราบทูลพระศาสดา
ท่านเศรษฐี แม้จะเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่อาจจะกลั้นความเศร้าโศกเสียใจเพราะการจากไปของธิดาได้ เมื่อเสร็จงานศพแล้ว ได้ร้องไห้น้ำตานองหน้าไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสปลอบว่า:-
อนาถปิณฑิก ก็ความตายเป็นสิ่งเที่ยงแท้ของสรรพสัตว์มิใช่หรือ เหตุไฉนท่านจึงร้องไห้อย่างนี้?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นข้าพระองค์ทราบดี แต่นางสุมนาเทวีธิดาของข้าพระองค์ เมื่อใกล้เวลาจวนจะตาย นางไม่สามารถคุมสติได้เลย นางบ่นเพ้อจนกระทั่งตาย ข้าพระองค์โทมนัสร้องไห้เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าข้า
พร้อมทั้งได้กราบทูลถ้อยคำที่นางสุมนาเทวีเรียกตนเองว่าน้องชาย ถวายให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้สดับแล้วทรงตรัสว่า:-
ดูก่อนมหาเศรษฐี ธิดาของท่านมิได้เพ้อหลงสติอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่ที่นางเรียกท่านว่าน้องชายนั้น ก็เพราะท่านเป็นเพียงพระโสดาบัน แต่ธิดาของท่านเป็นพระสกิทาคามี เป็นอริยบุคคลสูงกว่าท่าน และบัดนี้ นางได้ไปเกิดเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว นี่แหละคฤหบดี ธรรมดาบุคคล ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ถ้าอยู่ด้วยความไม่ประมาท ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ก็ย่อมเสวยสุขเพลิดเพลินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
อนาถปิณฑิกเศรษฐีได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้วก็หายจากความเศร้าโศกเสียใจ กลับได้รับความปีติเอิบอิ่มใจขึ้นมาแทน เมื่อควรแก่เวลาแล้วก็กราบทูลลากลับสู่เคหสถานของตน
เพราะความที่อนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้ที่มีศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหว ฝักใฝ่ในการทำบุญให้ทานอยู่เป็นปกติ ไม่มีผู้ใดจะเปรียบเทียบได้ พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย ในฝ่ายผู้เป็นทายก.