พระอาจารย์กล่าวว่า “ระยะนี้มีการถกเถียงเกี่ยวกับข้อปฏิบัติในพุทธศาสนามาก แต่บุคคลทั้งหลายส่วนใหญ่จะลืมความเป็นจริงไปข้อหนึ่งว่า บุคคลในยุคปัจจุบันที่จะสร้างบารมีมาถึงขนาดปรารถนาความหลุดพ้น ต้องการหลักธรรมโดยบริสุทธิ์นั้นมีน้อย ส่วนใหญ่สามารถให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาขั้นต้นได้บ้างก็ถือว่าดีมากแล้ว
ดังนั้น...หลายแห่งก็เลยทนไม่ได้ที่เวลาญาติโยมยังคงทำบุญอย่างเดียว ก็ต้องบอกว่าขณะที่เด็กกำลังเรียนชั้นประถมอยู่ เราเองทนไม่ได้อยากให้เขาเรียนชั้นปริญญา ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่คราวนี้นักวิชาการส่วนใหญ่ เขาไปหวังเอาว่าควรที่จะจบปริญญากันเสียที โดยที่ไม่ได้ดูว่าบุคลากรในระดับจบปริญญานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากวาดไปเกือบหมดแล้ว อายุกาลศาสนาที่เหลืออยู่ไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง
ในยุคของเรา ถ้าใครก็ตามที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ก็มักจะกลายเป็นคนที่แปลกแยกจากสังคม มักจะต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ต้องใช้ความอดกลั้นอดทนเป็นอย่างสูง ถึงจะเอาตัวรอดจากลมปากของคนได้ ในส่วนนี้พวกนักวิชาการที่เขาถกเถียงกันนั้น ลืมมองสภาพสังคมในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร
สังคมในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรม แต่ว่ายิ่งจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติธรรม เพราะไม่อย่างนั้นแล้วกระแสของ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ จะดึงเราไปอย่างชนิดกู่ไม่กลับ ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นเราก็จะกลายเป็นบุคคลที่น่าสงสาร โดนกระแสคลื่นซัดไปโดยไม่สามารถที่จะตั้งหลักหรือว่าตั้งตัวได้ เรื่องนี้ก็ควรที่จะสังวรเอาไว้ด้วยว่า บางอย่างเสียงวิชาการที่ค่อนข้างจะดัง ก็ลืมความเป็นจริงในสังคมไปเหมือนกัน"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-03-2018 เมื่อ 02:54
|