ดังนั้นในกลางคืนของขณะที่พระองค์ท่านทรงพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ก็ได้ขี่ม้ากัณฐกะออกจากเมืองไปพร้อมกับนายฉันนะมหาดเล็ก ไปถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมาก็ได้ปลดเอาเครื่องประดับทั้งหลายส่งให้นายฉันนะ ตรัสว่าให้นำกลับไปทูลพระราชบิดาว่าเราออกบวชแล้ว หลังจากนั้นพระองค์ท่านก็ตัดพระเมาลี (มวยผม) ด้วยพระขรรค์ แล้วอธิษฐานเพศเป็นนักบวช ซึ่งในกาลครั้งนั้นตำรากล่าวว่า ฆฏิการพรหมผู้เป็นใหญ่ ได้นำบริขาร ๘ ประกอบไปด้วย บาตร และจีวร เป็นต้น มาถวายให้กับเจ้าชายสิทธัตถะ
เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลที่เป็นนักบวชใหม่ บวชขึ้นมาแล้วก็พยายามไปศึกษาค้นคว้าตามสำนักครูต่าง ๆ และสามารถที่จะเรียนรู้จนมีความสามารถเท่ากับครูทุกสำนัก แต่ก็ยังไม่เห็นว่าเป็นทางหลุดพ้น โดยเฉพาะ ๒ สำนักสุดท้ายคือ อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตรนั้น พระองค์ท่านสามารถศึกษาได้จนถึงสมาบัติ ๘ ซึ่งถือว่าเป็นกำลังสมาธิสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้
แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ คือ ผู้แสวงหาหนทางในการตรัสรู้นั้น ก็ยังเห็นว่านี่ก็ยังไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ พระองค์ท่านจึงออกไปอยู่เพียงผู้เดียว เพื่อที่จะบำเพ็ญตบะ ซึ่งในสมัยนั้นนิยมด้วยการทรมานกาย เป็นต้น ก็มีปัญจวัคคีย์ คือ ฤๅษี ๕ ตน เป็นผู้เลื่อมใสในการออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะ ปวารณาตนคอยดูแลถวายการรับใช้อยู่
|