องค์สมเด็จพระบรมครูในยุคนั้น ได้ทรมานตนอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ มีหลายคนกล่าวว่าเป็นการเสียเวลาเปล่าไป ๖ ปี แต่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้แล้วตรัสว่า พระองค์ท่านไม่ได้เสียเวลาเปล่า เพราะว่าฝึกฝนมาทุกอย่างแล้ว จะได้ยืนยันกับเขาว่า พระองค์ท่านที่ผ่านการฝึกฝนตามหลักวิชาการต่าง ๆ มาทุกอย่าง และทำยิ่งกว่าต้นตำรับ เมื่อทำถึงขนาดพระองค์ท่านแล้วไม่สามารถจะบรรลุได้ ก็ย่อมทำให้คนอื่นไม่สามารถจะถกเถียงได้ว่า สิ่งที่พระองค์ท่านกล่าวนั้นเป็นเรื่องไม่จริง ดังนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า พระองค์ท่านไม่ได้เสียเวลาเปล่า แต่เป็นการยืนยันว่า แนวทางปฏิบัติสายอื่นนั้นใช้ไม่ได้
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคนั้น จึงได้เปลี่ยนจากการทรมานพระวรกาย มาเสวยพระกระยาหารพอให้มีกำลัง แล้วพอดีตรงกับคืนขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ หลังจากที่พระองค์ท่านทรมานกายมา ๖ ปีเต็ม ๆ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งลงยังโคนต้นอัสสัตถพฤกษ์ ซึ่งมาภายหลังจากตรัสรู้แล้วเขาเรียกกันว่า “ต้นโพธิ์” ทรงอธิษฐานว่า แม้เลือดเนื้อร่างกายนี้จะเหือดแห้งลงไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์นี้จะดับสิ้นลงไป ถ้าหากไม่บรรลุธรรมที่ปรารถนาแล้วไซร้ เราจะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้เลย แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บำเพ็ญจิตด้วยกำลังสมาธิให้ผ่องแผ้ว พยายามพิจารณาดูเหตุดูผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ของหมู่สัตว์ต่าง ๆ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 01-06-2018 เมื่อ 08:34
|