ถาม : โบสถ์มีรูปแบบตายตัวไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี จริง ๆ แล้ว สมัยโบราณไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเป็นจุดที่กำหนดว่าให้ทำสังฆกรรมได้ ก็จะส่งพระออกไป ๘ ทิศ ในระยะที่เพียงพอต่อการที่พระส่วนใหญ่นั่งทำสังฆกรรมรวมกัน แล้วก็สวดถามว่าแต่ละทิศมีอะไรเป็นเครื่องหมาย ? เมื่อยืนยันกลับมาแล้วก็จดจำไว้ว่า ทิศนี้มีอย่างนี้เป็นเครื่องหมาย ๆ ครบทั้ง ๘ ทิศแล้วก็ทำสังฆกรรมได้
พอมาระยะหลังมีการสร้างเป็นอาคารถาวรขึ้นมา ก็แล้วแต่ว่าศิลปะของแต่ละสถานที่เป็นอย่างไร จะสร้างแบบไหนก็ได้ แต่ส่วนสำคัญก็คือต้องมีสีมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือที่ปัจจุบันเราเรียกว่าลูกนิมิต
ดังนั้นแบบไม่ตายตัว สร้างแบบไหนก็ได้ เล็กที่สุดต้องบรรจุพระได้อย่างน้อย ๒๑ รูป ใหญ่ที่สุดไม่เกิน ๓ โยชน์ ก็คือห้ามกว้างเกิน ๔๘ กิโลเมตร ที่กว้าง ๔๘ กิโลเมตร ส่วนใหญ่เขาเรียกว่า คามสีมา พูดง่าย ๆ ว่าทั้งหมู่บ้านหรือว่าทั้งเมืองเลย จะเป็นเขตสีมาหมด นั่นหมายความว่าถ้าพระพุทธเจ้าเสด็จแล้วพระตามไป ๒๐๐,๐๐๐ รูปอะไรอย่างนี้ ก็คงได้ปิดบ้านปิดเมืองเพื่อทำสังฆกรรมกันเลย
ถาม : แล้วที่ผ่านมาในพระไตรปิฎกมีแบบนี้ไหมครับ ?
ตอบ : เต็มที่ก็ ๒๐๐,๐๐๐ รูป เคยมีมาแล้ว
ถาม : โบสถ์ควรจะมีกี่ชั้นคะ ?
ตอบ : กี่ชั้นก็ได้ แต่ถ้าทำสังฆกรรมควรจะให้คนที่อยู่ข้างล่างออกไปเพื่อความแน่นอน เพราะว่าบางคนเขาลังเลสงสัย
ถาม : แล้วในช่วงที่ไม่มีสังฆกรรม สามารถเข้าไปใช้งานใต้โบสถ์ได้ไหม ?
ตอบ : จะทำอะไรก็เชิญ ถ้าทางฝั่งพม่าโบสถ์นี่ก็คือที่พัก ทางฝั่งพม่าไม่ให้ความสำคัญกับโบสถ์ ทั้ง ๆ ที่โบสถ์เป็นที่ทำสังฆกรรมทั้งหมด เขาจะให้ความสำคัญกับศาลารับแขก ก่อสร้างทุกอย่างเสียหรูหราสุด ๆ จนกระทั่งเขาสรุปว่าเอาไว้อวดแขก ส่วนโบสถ์อย่างไรก็ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2018 เมื่อ 03:36
|