เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องทบทวนอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะในส่วนของนิวรณ์ ๕ เกิดขึ้นเมื่อไรใจก็มืดบอดเมื่อนั้น หลังจากนั้นให้น้อมจิตไปเทียบกับสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ เพื่อที่จะได้ดูว่ากิเลสใหญ่ที่ร้อยรัดใจของเรานั้น บัดนี้เราขัดเกลาอะไรลงไปได้บ้างแล้ว
สักกายทิฐิ ความยึดว่าตัวกูของกูยังมีอยู่มากหรือไม่ ? วิจิกิจฉา ยังลังเลสงสัย ไม่ได้เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยความจริงใจใช่ไหม ? สีลัพพตปรามาส ยังรักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ คือรักษาบ้างศีลขาดบ้างหรือไม่ ? กามฉันทะ คือยังคลุกคลีอยู่กับนิวรณ์ทั้ง ๕ หรือไม่ ? พยาบาท ยังโกรธเกลียดอาฆาตแค้นคนอื่นหรือไม่ ? รูปราคะ ยังยินดีในรูปหรือไม่ ? อรูปราคะ ยังยินดีในส่วนที่ไม่ใช่รูปหรือไม่ ? มานะ ยังแบกตัวตนอยู่หรือไม่ ? อุทธัจจะ ยังฟุ้งซ่านเป็นปกติหรือไม่ ? และอวิชชา ยังยินดียินร้ายกับสิ่งต่าง ๆ เพราะความที่สติ สมาธิ ปัญญา รู้ไม่เท่าทันกิเลสหรือไม่ ?
ถ้าตัวไหนบกพร่องก็ให้ตั้งใจว่า เราจะประพฤติปฏิบัติให้ดียิ่งไปกว่านี้ วันนี้เราทำดีเท่านี้ พรุ่งนี้ต้องทำให้ดีกว่านี้ เป็นต้น ถ้าเรารู้จักทบทวนอยู่ทุกวัน ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะมีขึ้น สิ่งที่เราทำทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจก็จะเจริญขึ้น ตัวเราก็จะมีกาย มีวาจา มีใจที่เป็นทุกข์เป็นโทษกับผู้อื่นน้อยลงไปเรื่อย ๆ โอกาสที่เราจะเข้าถึงมรรคเข้าถึงผลก็เป็นไปตามวิสัยที่ตนเองได้กระทำมา
ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2018 เมื่อ 04:08
|