ศพคน ๆ เดียว ประเทศไทยไม่พอ
เรื่องการเกิดตายของคนแต่ละคน ๆ นี้ ท่านเคยกล่าวอย่างถึงใจให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิด และรีบเร่งขวนขวายสร้างคุณงามความดีใส่ตนให้มาก ดังนี้
“... การเกิดการตายนี้ เกิดตายทับถมกันมานี้ สักเท่าไร ๆ แต่ละศพแต่ละคน ๆ มันรู้ไปหมด เวลามันรู้นะ เอาให้มันจริง ๆ จัง ๆ อย่างนี้เลยนะ มันจึงขยะแขยง
‘โห..มันผ่านของมันออกแล้ว มันก็ยังขยะแขยงอยู่นะ โถ ! แต่เวลามันจมอยู่ มันไม่ขยะแขยงนะ บืนอยู่อย่างนั้น เวลามันผ่านออกมาแล้ว มันถึงได้เห็นโทษของมัน ขยะแขยงนะ’
คนหนึ่งสัตว์ตัวหนึ่ง ๆ นี้ ถ้าไม่มีบุญไม่มีกุศลแล้วไม่มีความหมายเลย วนเวียนตายเกิด ตายสูงตายต่ำ ตายเกิดอยู่อย่างนั้นตลอด ตลอดกี่กัปกี่กัลป์ คนหนึ่ง ๆ นี้เอามากอง.. ประเทศไทยนี้ไม่พอกอง ศพของคนคนหนึ่งที่ตายเกิด ๆ เป็นสัตว์ประเภทใดก็ตามมารวมกันนี้
เพียงคนคนเดียวเท่านั้นทั่วประเทศไทยเรานี้ หาที่กองศพไม่มีเลย นานขนาดไหน กี่กัปกี่กัลป์ที่ตายเกิดตายทับกองกันอยู่นี่น่ะ เรียกว่าตายกองกัน ล้วนแล้วตั้งแต่จิตนี่ออกไปร่างนั้นแล้วเข้าสู่ร่างนี้ เข้าสู่ร่างไหนก็ว่าเกิด ร่างไหนหมดสภาพก็ว่าตาย ๆ ว่าเกิดว่าตาย ๆ มันหากหมุนของมันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา นี่ละวัฏวนวัฏจักร...
สิ่งที่มาแก้คืออะไร บุญกุศลเราสร้างมากน้อยเท่าไร ๆ มารวมกัน แล้วค่อยแก้ไปแก้มา แก้มาก ๆ เข้า.. บุญกุศลก็มากเข้า ความหนาแน่นของการแก้ก็หนาแน่นเข้า ๆ อันนี้ก็ค่อยจางไป ๆ ก็สว่างจ้าออก สว่างจ้าก็ดีดผึง ๆ เลย
นี่ละพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ มองดูหัวใจสัตว์โลกที่เขาไม่มีศาสนา คือเขาไม่ได้มองดูหัวใจเลย เขาดูแต่วัตถุเท่านั้น...”