ส่วนสุดท้ายเรียกว่า ปฏิสัมภิทัปปัตโต บางคนเรียกง่าย ๆ ว่า ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ มีความสามารถครอบงำทั้ง ๓ ประเภทแรก และมีความรู้พิเศษเพิ่มขึ้นมา ๔ อย่าง ก็คือ
๑. อัตถปฏิสัมภิทา รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากอะไร
๒. ธัมมาปฏิสัมภิทา รู้ว่าผลทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุอะไร
๓. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีความคล่องแคล่วว่องไวในปฏิภาณไหวพริบมาก
๔. นิรุกติปฏิสัมภิทา มีความรู้พิเศษ สามารถเข้าใจภาษาต่าง ๆ ได้มาก ทั้งภาษาคน ภาษาสัตว์ ภาษาในโลกทิพย์ เป็นต้น
คราวนี้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ จะสามารถแบ่งสรรปันส่วนได้ ก็ต่อเมื่อเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า อย่างเช่นว่า ความเป็นสุกขวิปัสสโก จะเริ่มปรากฏก็ต่อเมื่อเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ฉฬภิญโญ หรืออภิญญา ๖ จะเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อความเป็นพระโสดาบันปรากฏ ไม่เช่นนั้นก็ได้แค่อภิญญา ๕ เป็นต้น เพราะว่าอาสวักขยญาณ คือตัวทำให้กิเลสสิ้นไป ยังไม่ปรากฏ ส่วนปฏิสัมภิทาญาณนั้น กติกาหนักขึ้นไปอีก อย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามีขึ้นไป ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ถึงจะปรากฏได้
แต่ว่าทั้ง ๔ หมวด ที่บอกว่าสุกขวิปัสสโกนั้น บรรลุง่าย ๆ โดยไม่มีความสามารถพิเศษ ความจริงแล้วบรรลุยากมาก ที่บรรลุยากเพราะว่าทั้ง ๔ หมวด ท้ายสุดก็ต้องมาใช้กำลังส่วนของสุกขวิปัสสโก คือพิจารณาธรรม เมื่อพิจารณาไปจนสภาพจิตยอมรับ เข้าถึงตามวาสนาบารมีของตน แล้วก็ส่วนประกอบที่สั่งสมมา อยู่ที่ว่าเราได้มากได้น้อยเท่าไร บางท่านก็ได้เป็นพระโสดาบัน บางท่านก็เป็นพระสกทาคามี บางท่านก็เป็นพระอนาคามี บางท่านก็สิ้นกิเลส เป็นพระอรหันต์ไปเลย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2019 เมื่อ 12:33
|