พระอาจารย์กล่าวว่า "กำลังใจของเราส่วนใหญ่แล้วมีการยึดมั่นถือมั่นที่แก้ไม่ตก ก็คือมักจะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิด สิ่งที่ตัวเองพูด สิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีแล้ว ถูกแล้ว อาตมาอยากจะบอกว่าดีแค่นั้น ถูกแค่นั้น ถ้ากำลังใจของเราละเอียดขึ้น มีการปฏิบัติที่สูงขึ้น ก็จะมองเห็นว่า ที่ผ่านมานั้นยังไม่ถูก แต่ก็จะไปยึดมั่นถือมั่นว่า ตอนนี้ดีแล้ว ถูกแล้วอีก
ท้ายสุดจะเป็นการตู่ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้มีแค่นี้ ซึ่งอันตรายมาก เพราะว่าจะกลายเป็นโทษปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับหิ่งห้อยในกะลาครอบ แล้วไปเดาว่าดวงอาทิตย์สว่างเท่ากับความสว่างของตนเองในกะลาเท่านั้น
นักปฏิบัติธรรมจะต้องพยายามระมัดระวังตรวจสอบอยู่เสมอ อยู่ในลักษณะของ อัตตนา โจทยัตตานัง คือกล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ โดยเอากำลังใจของพระอริยเจ้ามาประกอบ ก็คือ ตราบใดที่ยังมีสังขารร่างกายนี้อยู่ ตราบนั้นยังไม่ดีจริง
เรื่องของกิเลสเป็นเรื่องยาก เพราะว่ากิเลสฝังรากลึกอยู่ในใจของเรามา ชาติแล้วชาติเล่าจนนับไม่ถ้วน มายาของกิเลสก็มาก หลอกเราอยู่ทุกเวลา ทุกนาที ดึงให้เราสนใจสิ่งอื่นที่นอกเหนือไปจากศีล สมาธิ ปัญญาที่เราปฏิบัติอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้นการปฏิบัติธรรมจึงต้องใช้ความระมัดระวัง และใช้ปัญญาให้มากเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเผลอเดินตามกิเลสไปโดยไม่รู้ตัว"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2019 เมื่อ 03:05
|