ถาม : เหมือนกับว่าเรานึกคิด แต่มันยังไม่ได้ละ
ตอบ : ความนึกคิดก็ส่วนความนึกคิด การรู้เห็นส่วนการรู้เห็น อย่าลืมว่า การคิดพิจารณาทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องรูปนามมันก็ต้องเป็นความนึกคิดประกอบ คือเป็นส่วนของสัญญา จำได้ก่อน หลังจากที่พิจารณาบ่อย ๆ มันจะเป็นปัญญาก็คือยอมรับ
ถาม : เหมือนกับปัจจุบันที่ทำให้เกิดการเกิดดับได้
ตอบ : ถูกต้อง เมื่อเรารู้เห็นการเกิดดับแล้วเราทำอะไรต่อไป
ถาม : ก็ไม่ต้องทำอะไร ก็ดูต่อไป ดูให้เห็นความเกิดดับที่แท้จริง
ตอบ : ถ้าเกิดว่าเราเห็นไฟไหม้บ้านอยู่ เสร็จแล้วเราก็นั่งมองเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ
ถาม : จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นธรรมชาติที่มันเกิด
ตอบ :ใช่
ถาม : แล้วเรายอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอมันเกิดทุกข์ เพราะเราไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น
ตอบ :ใช่ คราวนี้ในลักษณะที่เราทำก็คือว่า เราเอาการรู้เห็นนั้นมาใช้ในการพ้นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่ไม่เอาไปทำอะไร
ถาม : สิ่งที่เราเห็นนั้นคือว่า เราทำอย่างไรที่จะให้เราอยู่กับปัจจุบันให้ได้ แล้วยอมรับความเป็นจริงนั้น เหมือนเราแยกกายกับจิต ให้เกิดการยอมรับ ซึ่งคนที่เป็นทุกข์เพราะไม่ยอมรับความเป็นจริงนั้น
ตอบ : ใช่ คือไปดิ้นรนมัน แต่ว่าในลักษณะของเราที่ว่าทำนี่ ในเมื่อมันถึงวาระสุดท้ายของมัน ถ้าหากว่าจิตมันปลดออกจากการยึดเกาะทั้งหมดจริง ๆ แล้วความรู้สึกที่มันเข้ามามันจะเป็นอะไร เรายังก้าวไม่ถึงตรงจุดนั้น เราก็ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการหยุดอยู่กับปัจจุบันเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่ว่าจะไปอดีตหรือจะไปอนาคตมันเป็นการสร้างทุกข์ให้ตัวเองทั้งนั้น เหมือนกับว่าไปคิดให้มันทุกข์เป็นการซ้ำเติมตัวเอง แต่ว่าการที่เราหยุดอยู่กับปัจจุบันนั้น ถ้าหากว่าเราเอาแต่พิจารณาตามดูตามรู้อยู่อย่างเดียว ถ้ากำลังมันไม่พอ สังเกตไหมว่าเราเลิกเมื่อไหร่มันก็รัก โลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
|