ทุกข์เพราะกลัวตาย
คนเราส่วนใหญ่กลัวความตาย ไม่อยากให้ความตายมาถึง ทั้งความตายของบุคคลที่เรารักและความตายของตัวเราเอง แต่ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นความจริงของชีวิต ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ เราทุกคนจึงควรรู้จักพิจารณาความตาย เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับความตายได้ด้วยใจ
พิจารณาความตาย คือกายของเรานี้เป็นส่วนหนึ่ง ความรู้สึกนึกคิด จิตใจ เป็นอีกส่วนหนึ่ง ร่างกายของเราที่กำลังแก่ กำลังเจ็บ กำลังตายนี้ เป็นที่อาศัยของจิตใจชั่วคราว ส่วนใหญ่ไม่เกิน ๑๐๐ ปี เหมือนเราอาศัยอยู่ในบ้านในช่วงชีวิตหนึ่ง หากเปรียบร่างกายเหมือนเป็นบ้าน เป็นรถ ร่างกายก็เป็นวัตถุที่ประกอบด้วยธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อายุใช้งานก็ประมาณไม่เกิน ๑๐๐ ปี แต่ในส่วนของจิตใจก็ไม่ใช่ จิตใจของเราท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารนับภพนับชาติไม่ถ้วน
สำหรับคนที่กำลังใกล้จะตาย มีเวลาเหลือน้อยแล้วก็บอกกับเขาให้พยายามทำใจให้สงบ ทำใจปล่อยวาง สบายใจว่ากำลังจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไปเกิดดี
สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีเวลาสำหรับการปฏิบัติ ต้องไม่ประมาทในชีวิต ให้เราพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ความตายนี้ดีสำหรับบางคน ไม่ดีสำหรับบางคน
หมายความว่า สำหรับคนที่ทำความดี สั่งสมบุญกุศลมา มั่นใจในความดีของตน ก็สบายใจได้ว่าจะไปเกิดในทางที่ดี สำหรับคนชั่วก็คงจะไปเกิดไม่ดี ความตายนี้จึงน่ากลัว
ดังนั้นเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่จึงควรทำแต่ความดี ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
- อานิสงส์ของทาน ทำให้ฐานะดี ไม่ลำบาก
- อานิสงส์ของศีล ทำให้รูปงาม ร่างกายสมประกอบ ผิวพรรณดี
- อานิสงส์ของภาวนา ทำให้สติปัญญาดี
การทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาจะเป็นอริยทรัพย์อันเป็นที่พึ่งพิงอาศัยให้แก่เราได้ แม้จะตายจากภพนี้ไปแล้ว
หากใครเคยทำความชั่วมา ก็ให้หยุดทำชั่ว ตั้งแต่บัดนี้ พยายามเร่งทำความดี ถึงแม้ว่าใครจะเคยทำบาปทำกรรมไว้มากก็ตาม หากหยุดทำกรรมชั่วได้ ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ เจริญภาวนา จนเกิดวิปัสสนาปัญญาแล้ว ก็มีโอกาส มีทางไปที่สูงขึ้น จนถึงขั้นบรรลุอริยมรรค อริยผล นิพพานได้