ดังนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงการประมวลหลักธรรมว่า เราต้องทรงความไม่ประมาทให้เป็นปกติ ก็แปลว่า ท่านทั้งหลายเมื่อออกพรรษาแล้ว สิ่งหนึ่งประการใดที่เราทำได้ตามปกติ
ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน คือ ตั้งใจใส่บาตรทุกวันก็ดี การรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ตลอดทุกวันก็ดี หรือว่าการเจริญภาวนาสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ทุกวันตลอดพรรษาก็ตาม ถ้าท่านทำได้ก็ถือว่าเป็นสมบัติอยู่ในมือของเรา ก็ควรที่จะเร่งขวนขวายกระทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ในขณะเดียวกันพระภิกษุสามเณรของเราที่อยู่ประจำพรรษา ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นลูก เป็นหลาน เป็นญาติ เป็นโยม ท่านทั้งหลายเมื่อถึงเวลาก็ไปสงเคราะห์ลูกหลานญาติโยมด้วยการใส่บาตร อาตมาเห็นแล้วบางทีก็ขำ ก็คือบางบ้านไม่เคยใส่บาตรเลย พอถึงเวลาลูกมาบวชก็ใส่บาตรตลอดพรรษา อีกไม่กี่วันลูกสึก โยมก็หายหน้าไปพร้อมกับลูกที่สึกด้วย..!
ถ้าหากว่าเป็นลักษณะอย่างนี้แปลว่าเราทำความดีแบบไม่สม่ำเสมอ ถึงเวลาความดีมาสนอง เราก็จะมีความสุข ความสะดวกสบายในช่วงนั้น แต่ถ้าความดีขาดช่วงลงไปเมื่อไร เราเองก็อาจจะได้รับความทุกข์ยาก ความลำบาก เพราะว่าเราเป็นคนทำบ้าง ไม่ทำบ้าง นั่นเอง
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ธนปุณโณ : 08-07-2020 เมื่อ 12:11
|