ดูแบบคำตอบเดียว
  #648  
เก่า 16-10-2020, 13:26
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เทศนาอบรมนักภาวนา

การเทศนาสอนโลกขององค์หลวงตานั้น มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นต้นมา ในเบื้องต้นท่านเทศนาอบรมพระอยู่ในป่าในเขา จากนั้นพระเข้ามาศึกษากับท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ ประชาชนก็เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น เมื่อมีความจำเป็นต้องสร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เพราะโยมมารดาของท่านเป็นเหตุแล้ว การเทศนาอบรมนักภาวนาไม่ว่าจะเป็นแม่ขาว แม่ชี หรือเป็นฆราวาสผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอย่างจริงจัง ก็เริ่มปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าเดิม ดังเรื่องราวต่อไปนี้

โยมแม่ชมเชยการเทศน์

เนื่องจากโยมแม่ขององค์หลวงตามิได้ฝึกหัดอ่านเขียนหนังสือมา เพราะสมัยก่อนการศึกษายังไม่เจริญดังเช่นปัจจุบัน จึงต้องอาศัยลูกหลานหรือนักปฏิบัติธรรมสตรีที่มาพักภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด ให้ช่วยอ่านหนังสือที่ท่านเป็นผู้เขียนให้ฟังทุกวัน ดังนี้

“.. เรื่องโยมแม่ .. คุณหญิงส่งศรี (เกตุสิงห์) หนึ่ง คุณเพาพงา (วรรธนะกุล) หนึ่ง เวลามาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดแล้ว ตอนบ่าย ๔ โมงจะผลัดกันมาอ่าน “หนังสือประวัติหลวงปู่มั่น” ให้โยมแม่ฟังทุกวัน อ่านวันละชั่วโมง หรือ ๔๐ กว่านาทีทุกวัน ๆ จนกระทั่งจบ

เราเข้าครัวออกครัวก็อย่างที่เราเข้าอยู่นี่ เข้าออกอยู่อย่างนั้น พอไปที่ศาลา วันนั้นไปธุระกับพระ ไม่ใช่ไปโดยลำพัง เราดูนั่นดูนี่ อันนั้นไปด้วยมีกิจธุระ พอเห็นเราเข้าไปโยมแม่ปุบปับมาเลย ตอนนั้นไม่มีใคร ศาลาหลังเล็ก ๆ แม่มาก็มานั่งพักล่างพื้นดิน พักบนคือฟากไม้ไผ่สับ เราก็ขึ้นไปนั่งนั้น พอเรานั่งปั๊บแม่ก็ว่า ‘ให้แม่ชมเชยสักหน่อยนะ’

‘ชมเชยอะไรกัน ? ทีตอนเป็นเด็กเป็นเล็กทั้งดุทั้งด่า ทั้งเฆี่ยนทั้งตี เวลาโตมาแล้ว มาชมเชยหาอะไร ?’ เราว่าอย่างนี้.. แหย่ แม่กับลูกแหย่กัน

ทางแม่ก็ตอบดีนะ ‘โอ๋ย ! เวลาเป็นเด็กก็เป็นอย่างหนึ่ง มันน่าเฆี่ยนน่าตีก็เฆี่ยนตีเอาบ้างแหละ ทีนี้เวลาโตมาแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แม่ชมเชยสักหน่อย เวลาแต่งหนังสือทำไมถึงได้เลิศเลอหยดย้อยเอานักหนา แต่งหนังสือประวัติท่านอาจารย์มั่นนี้.. อ่านจบแล้วแม่ซาบซึ้งมาก บางทีน้ำตาร่วงเลย อัศจรรย์ธรรม พระพุทธเจ้าก็อัศจรรย์ น้ำตาร่วงเกี่ยวกับหลวงปู่มั่นด้วย ที่หลวงปู่มั่นท่านได้รู้ได้เห็น ท่านดำเนินยังไงก็อัศจรรย์ แล้วอัศจรรย์ผู้แต่งนี้ก็อัศจรรย์ สำนวนนี้ทำไมถึงแต่งดิบแต่งดี

เราบอกว่า ‘ก็หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระองค์เลิศเลอ ก็แต่งเลิศเลอตามเรื่องของท่านทุกกิทุกกี ผู้แต่งไม่ได้เลิศเลออะไรนะ’

โอ๋ย ! หลวงปู่มั่นเลิศเลอก็รู้ว่าเลิศเลอ ผู้แต่งนี่ก็แปลก ๆ อยู่นะ ไม่มีอะไร ๆ แต่งดีอย่างนี้ไม่ได้ แม่จึงขอชม’ ว่าอย่างนั้นนะ แล้วแม่ก็พูดว่า ‘จะให้ใครแต่งอย่างนี้.. แต่งไม่ได้นะ ทำไมถึงหยดถึงย้อยเหมือนไม่ได้เกิดในหัวอกของแม่เลยลูกคนนี้ ฟังตรงไหน.. ไพเราะเพราะพริ้งตามกันไป ธรรมท่านก็เลิศ ผู้เขียนนี่ก็เลิศ ไม่งั้นเขียนไม่ได้’

จากนั้นเราก็ถามแม่บ้างว่า ‘แล้วเป็นยังไงที่ขอเงินไปซื้อหนังสือมา เรียนมาแล้วมาแต่งหนังสือให้โยมแม่อ่าน แล้วเป็นยังไง ท มันคุ้มค่าไหม ?’

‘คุ้มมหาคุ้มลูกเอ๊ย...’ แม่ว่าอย่างนั้น เพราะตามธรรมดาพ่อกับแม่ไม่เคยชมลูก นิสัยพ่อแม่นี้กดตลอด การชมนี้ไม่เอา

เราพูดถึงเรื่องหนังสือ เรื่องเอาจริงเอาจัง เงินของโยมพ่อโยมแม่ส่งไป เราไม่ยอมที่จะไปซื้อนั่นซื้อนี่มาใช้พิเศษของเจ้าของ ไม่เอานะ ต้องเพื่อหนังสือเท่านั้น เราจริงจังมาก...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2020 เมื่อ 18:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา