หลวงพ่อกล่าวถึงชาวท่าขนุนว่า "ปีใหม่ คนส่วนหนึ่งเขาไปเคาท์ดาวน์กัน ปีที่แล้วที่ซานติก้าผับ ตายไปไม่รู้เท่าไร แต่ละเทศกาลที่เป็นที่นิยมกัน คนก็ตายกันมาก ๆ ดูแล้วน่าสลดใจ แต่ขณะเดียวกัน คนอีกจำนวนหนึ่งเขาถือบุญเป็นใหญ่ ถึงเวลาวาระสำคัญก็ทำบุญไว้ก่อน
เมื่อวานที่วัดท่าขนุน กับข้าวกองเป็นภูเขาเลย บิณฑบาตแค่เช้าเดียวเท่านั้น วันนี้อาตมาหนีบิณฑบาตมา ให้พระครูหน่อย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสเขาพาพระไป เพราะว่าวันนี้เทศบาลเขาจัดงานตักบาตรพระ ๙๙ รูป เขาจัดแบบนี้ทุกวันขึ้นปีใหม่ ถ้าอาตมาอยู่ก็จะไปนั่งเป็นประธานบนแท่นคอยพรมน้ำมนต์ ไม่ได้ไปบิณฑบาตกับเขา พอดีปีใหม่ของปีนี้ตรงกับรับสังฆทานที่กรุงเทพฯ เลยไม่ได้ไป
ทางบ้านท่าขนุนก็มีทำบุญปีใหม่กลางหมู่บ้านทุกปี ลักษณะนี้ควรจะทำเพราะเป็นการแสดงออกซึ่งสามัคคีกัน เขาจะทำกับข้าวมาคนละอย่างสองอย่าง แล้วเอามารวม ๆ กัน ทั้งหมู่บ้านรวมแล้วกับข้าวเป็นร้อยอย่าง พระนั่งล้อมวงกัน เอื้อมตักแทบไม่ถึง เพราะวงมันใหญ่ ต้องส่งสลับกันไปสลับกันมา
อีกอย่างหนึ่งที่เห็นคนท่าขนุนเขาทำกันแล้ว รู้สึกว่าเขารักใคร่สามัคคีกันดี ก็คือ ปีที่แล้วเขาสร้างบ้านให้คุณยายคนหนึ่ง คุณยายคนนี้ไม่มีลูกไม่มีหลาน อยู่ตัวคนเดียวลำบาก อาศัยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แลกค่าอาหารไปวัน ๆ ชาวท่าขนุนก็ช่วยกันบริจาคคนละเล็กคนละน้อยร่วมกับเทศบาลตำบล สร้างบ้านใหม่ให้ยายหนึ่งหลัง แล้วก็นิมนต์พระไปขึ้นบ้านใหม่ รายจ่ายทั้งหมด นายกเทศมนตรีควักกระเป๋า ไม่ได้ใช้งบประมาณนะ ค่าทำบุญเลี้ยงพระ นายกเทศมนตรีควักกระเป๋าเอง ๒ ชุมชน ๕ หมู่บ้านรวมกัน เขารักใคร่กลมเกลียวกันมากเลย ถึงเวลามีอะไรก็ทำงานพร้อม ๆ กัน
อย่างของวัดท่าขนุน เวลาจัดงานวัฒนธรรมสายใยชุมชน แต่ละชุมชนเขาจะมีของดีมาอวดคนอื่นเขา ทั้งการแสดง งานฝีมือ จักสานหัตถกรรม ถ้าหากทุกหมู่บ้านทำอย่างนี้ได้ รับรองได้เลยว่าประเทศไทยเจริญกว่านี้อีกจนนับไม่ได้ เพราะเขารู้จักห่วงหาอาทรในลักษณะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเลย เมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมหมู่บ้าน"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-01-2010 เมื่อ 15:49
|