พระอาจารย์กล่าวว่า "เป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายของเราก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ไฟธาตุมีทั้งกระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต และเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ฝรั่งเขาเพิ่งจะค้นเจอไม่นานนี้เอง ว่าออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไป ไปเผาผลาญทำลายเซลล์ไปส่วนหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้าบอกเอาไว้สองพันกว่าปีมาแล้ว..!
ยิ่งศึกษาไปจะยิ่งเห็นอัจฉริยภาพของพระองค์ท่าน คราวนี้อัจฉริยภาพตรงนั้นส่วนหนึ่งก็คือ สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกที่พระองค์ท่านไม่สอน เพียงแต่ว่ามีปะปนอยู่ในหลักธรรมของพระองค์ท่าน ถ้าเราอ่านเจอแล้วจะทึ่งมาก
อย่างในอินทกสูตร กล่าวถึงการกำเนิดชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่เป็นจุดปฏิสนธิ์เล็ก ๆ ในท้องแม่ ท่านบอกว่าเล็กเท่าปลายขนจามรีจุ่มน้ำมันแล้วดีด ๑๖ ครั้ง จากนั้นจิ้มลงบนผ้าขาว จุดใหญ่แค่ไหนก็แค่นั้นแหละ แล้วหลังจากนั้น...พอโดนไฟธาตุของแม่เคี่ยวเข้าก็ค่อย ๆ เจริญเติบโตขึ้น ตอนแรกก็ขยายเซลล์กลายเป็นกลละ เป็นอัพพุทะ เป็นเปสิ เป็นฆนะ ก็คือมีลักษณะเป็นก้อนเลือด แล้วก็มีปัญจสาขา หนึ่งศีรษะ สองขา สองแขน แต่ละ ๗ วันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง พระองค์ท่านบอกไว้หมด เพราะว่ามียักษ์อยู่ตนหนึ่งชื่ออินทกะ น่าจะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ ไปสอบถาม พระองค์ท่านจึงตรัสให้ฟัง
ทุกวันนี้เขาก็งงว่าสมัยโน้นเอากล้องที่ไหนมาส่อง เขาลืมไปว่าพระพุทธเจ้านอกจากมีทิพจักขุญาณแล้ว ยังมีสมันตจักษุ คือดวงตาแห่งปัญญาอันรู้รอบไปทุกสิ่ง เพียงแต่ว่าสิ่งที่พระองค์ท่านนำมาสอนเรานั้นคือใบไม้ในกำมือ ใบไม้ทั้งป่าทำให้คนเข้าถึงธรรมช้า ต้องเวียนว่ายตายเกิดนาน พระองค์ท่านจึงไม่สอน
มาระยะหลัง ท่านทั้งหลายที่มีวิสัยพระโพธิสัตว์ มาสอนในเรื่องของพระโพธิสัตว์ จึงกลายเป็นสายมหายานขึ้นมา ซึ่งแต่แรกแล้วพระพุทธเจ้าของเราไม่ได้สอนเรื่องเหล่านี้ ก็เพราะว่าสายพระโพธิสัตว์ต้องเวียนว่ายตายเกิด เพื่อสร้างบารมีนับกัปไม่ถ้วน พระองค์ท่านไม่ปรารถนาให้ทุกคนต้องข้องอยู่กับธรรมอันเนิ่นช้า คำว่าข้องก็คือติดอยู่ ในเมื่อไปติดอยู่ก็ทำให้ช้า ยิ่งไปถึงพระนิพพานช้าเท่าไร ก็ยิ่งมีความทุกข์มากเท่านั้น เพราะว่าต้องเกิดต้องทุกข์ไปเรื่อย
แต่พอคนที่มีวิสัยของพระโพธิญาณมา ได้ศึกษาความเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วนำเอาหลักธรรมคำสอนนี้มาบอกกล่าว จนปรากฏชัดเจนในสมัยของท่านนาคารชุน ทำให้สายมหายานเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา"
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2020 เมื่อ 03:31
|