ก็แปลว่าในส่วนของอาหารนั้นมีส่วนน้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพจิตที่นึกคิดปรุงแต่งมากกว่า ถ้าหากว่าเราสามารถหยุดความคิดได้ ไม่ว่าจะเป็น ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็สงบ หมดสภาพไปเอง เพราะว่าขาดการปรุงแต่ง อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับเราลวกก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ก็ไม่มีใครอยากกิน แต่คราวนี้การที่เราไปปรุง ใส่หมูสับ ใส่กุ้งแห้ง ใส่ลูกชิ้น ใส่ตั้งฉาย ใส่ต้นหอม ใส่ผักชี ใส่น้ำส้ม ใส่น้ำปลา ใส่แม้กระทั่งถั่วลิสงคั่ว ยิ่งปรุงมากก็ยิ่งอร่อยมาก จึงทำให้อยากกินมากขึ้น
ลักษณะสภาพใจของเราก็แบบเดียวกัน ก็แปลว่าท่านผู้ถามนั้นไม่สามารถจะหยุดความคิดทั้งหมดให้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกได้ ถ้าเราดึงเอาความคิดทั้งหมดมาอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าให้ความรู้สึกแนบชิดกับลมหายใจ...ไหลตามเข้าไปจนสุด...หายใจออกให้เอาความรู้สึกทั้งหมดแนบชิดติดกับลมหายใจ ไหลออกมาจนสุด
ถ้ากำลังใจของเราอยู่แค่นี้ รัก โลภ โกรธ หลง อะไรก็กินเราไม่ได้ เพียงแต่ว่าบางท่านพยายามแล้วพยายามอีก กำลังของกิเลสก็ยังเหนือกว่า ถ้าลักษณะอย่างนั้นต้องหางานอื่นทำ เพื่อที่จะให้เผลอลืมไปเลย
อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้วิธีวิ่งอยู่ในป่าช้า วิ่งจนกระทั่งโดนกำนันเถา กำนันตำบลบางนมโค ไปฟ้องหลวงปู่ปานว่า "พระของท่านไม่สำรวม วิ่งกันโครม ๆ ไม่ได้อยู่ในสมณวิสัยที่สมควร" หลวงปู่ปานท่านก็ถามกลับไปว่า "กำนันไปเห็นพระของฉันไปวิ่งกันที่ไหน ?" กำนันเถาก็ตอบว่าวิ่งกันอยู่ในป่าช้า หลวงปู่ปานก็เลยถามไปอีกประโยคว่า "เขาอุตส่าห์หลบไปวิ่งในป่าช้า แล้วกำนันเสือกตามไปดูทำไม !!?"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2021 เมื่อ 10:26
|