หรืออย่างหลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย เป็นพระอรหันต์รูปเดียวที่เข้านิโรธสมาบัติได้ในอิริยาบถทั้ง ๔ ซึ่งตัวกระผม/อาตมภาพเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครทำได้ มีอยู่วันหนึ่งเดินตรวจงานกับหลวงพ่อฤๅษีฯ ไปถึงตรงบริเวณกุฏิต้อนรับพระสุปฏิปันโน ๑๐ รูปในยุคนั้น หลวงพ่อท่านปรารภว่า "แม้แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าหลวงปู่ชุ่มท่านทำได้อย่างไร เพราะว่านิโรธสมาบัตินั้นเป็นการแยกจิตกับกายออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อจิตกับกายแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ร่างกายก็เหมือนกับขอนไม้ท่อนหนึ่ง แล้วไปบังคับให้เดินได้อย่างไร ?"
กระผม/อาตมภาพกราบเรียนหลวงพ่อว่า "ถ้าตามความเข้าใจของผมก็คือ ตั้งกำลังอภิญญาให้สูงสุดเท่าที่ทำได้ แล้วอธิษฐานจิตไว้ก่อนว่า ในระหว่างนั้นจะทำอะไรบ้าง เป็นระยะเวลายาวนานเท่าไร แล้วค่อยเข้านิโรธสมาบัติ" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ข้าก็ไม่เคยทำเหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำได้อย่างที่แกพูดหรือเปล่า ? เพราะว่าส่วนใหญ่พระที่เข้านิโรธสมาบัติก็เข้าอิริยาบถเดียว ส่วนมากก็นอน ส่วนน้อยนั่ง ที่น้อยกว่านั้นน่าจะเป็นยืน"
อย่างหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ยืนอยู่ ๓ ปีกว่า ยืนจนกระทั่งปลวกขึ้นขามาถึงหัวเข่า แล้วก็ไปโดนคนเขาทุบออกมา ก็คือไปทุบรังปลวกทิ้ง ท่านพิจารณาว่า ไม่สามารถที่จะเข้านิโรธสมาบัติจนกระทั่งมรณภาพไปเลย เพราะว่าเวรกรรมที่เนื่องกับชาวบ้านยังเหลืออยู่ ต้องไปชดใช้เขาก่อน ท่านจึงยอมถอนออกจากสมาบัติแล้วก็กลับเข้ามาในบ้านในเมือง มาอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่ญาติโยมทั้งหลายที่มีเวรมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมา
ส่วนหนึ่งที่ลูกศิษย์หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีฯ รู้จักหลวงปู่คำคะนิงดีมาก ก็เพราะว่าในประวัติหลวงปู่ปาน ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเขียนไว้ว่าเข้าป่าไปแล้ว ไปเจอนักบวชประหลาดแต่งตัวปุปะไม่เหมือนกับพระ เมื่อพูดไม่เข้าหูก็ตีกัน ก็คือดวลกันด้วยอำนาจอภิญญา ท้ายที่สุดก็มาเฉลยว่าคือหลวงปู่คำคะนิง ในส่วนนี้ต้องบอกว่าพระในระดับนั้น หายากสุด ๆ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2021 เมื่อ 14:28
|