คราวนี้ในเรื่องของความทุกข์นั้น ไม่ใช่ว่าเราเห็นแล้วไปเศร้าหมอง ความทุกข์นั้น เมื่อเห็นแล้วให้ยอมรับความเป็นจริง โดยเฉพาะยอมรับว่า ธรรมดาของการเกิดมาต้องเป็นอย่างนี้
ถ้าหากว่าในชีวิตนี้ ท่านทั้งหลายคว้าคำว่า "ธรรมดา" ติด ชีวิตจะมีความสุขขึ้นมหาศาล ปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลงไปได้มาก เพราะเราสามารถที่จะยกเรื่องสารพัดที่เกิดขึ้นให้เป็นธรรมดาของการเกิดมา
เพียงแต่ว่าธรรมดานั้นมีระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน ธรรมดาปุถุชนอยู่ในระดับหนึ่ง
ธรรมดาของกัลยาณชน หรือผู้ทรงฌานทรงสมาบัติ อยู่ในระดับหนึ่ง
ธรรมดาของพระอริยเจ้าก็ยังมีแตกต่างกันไป ธรรมดาของพระโสดาบัน ปล่อยวางได้ระดับหนึ่ง
ธรรมดาของพระสกทาคามี ปล่อยวางได้เกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์
ธรรมดาของพระอนาคามี ปล่อยวางได้เกือบหมด
มีแต่ธรรมดาของพระอรหันต์ที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ไม่ยึดไม่เกาะอะไรแล้ว เท่ากับว่าปล่อยลงทั้งหมด
ในเมื่อธรรมดาเกิดมาเป็นทุกข์เช่นนี้ เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ก็ต้องถามตัวเองว่า แล้วอยากเกิดมาทุกข์อย่างนี้อีกหรือไม่ ? ถ้าไม่อยากที่จะเกิดมาทุกข์แบบนี้อีก เราก็ต้องทุ่มเททั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเรา ในการพยายามกระทำทุกอย่างเพื่อให้พ้นจากกองทุกข์ ก็คือการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาให้เห็นความเป็นจริง ว่าร่างกายนี้ก็ดี โลกนี้ก็ดี เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อน ไม่มีอะไรน่ายินดีให้เรามายึดมาเกาะอยู่ กำลังใจของเราก็จะปลด จะละ ไปได้ตามกำลังของศีล สมาธิ ปัญญาที่เรากระทำถึง ถ้าหากว่าปลดละได้ทั้งหมด ก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
วันนี้ที่กล่าวถึง เกิดจากความสลดใจที่เห็นว่า แม้กระทั่งเกิดเป็นเทวดาก็ยังทุกข์ยากเห็นปานนี้ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เราที่อยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า จะไม่ทุกข์นั้นไม่มี
จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2021 เมื่อ 03:17
|