เพราะว่าการใส่บาตร ถ้าเราไม่จำเพาะเจาะจง ใส่พระภิกษุสามเณรองค์ไหนก็ได้ จัดเป็นสังฆทานโดยอัตโนมัติ ต่อให้พระมารูปเดียวก็เป็นสังฆทาน ซึ่งอานิสงส์มากกว่าปาฏิปุคคลิกทาน คือทานเจาะจงบุคคลเป็นแสนเท่า แต่ปรากฏว่าเขาไม่ต้องการบุญมาก เขาต้องการบุญแค่นิดเดียว ก็คือต้องใส่หลวงพ่อให้ได้ วิ่งไล่ตามมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นอกจากไม่เข้าใจว่าสังฆทานกับปาฏิปุคคลิกทานต่างกันอย่างไรแล้ว ยังไม่มีอุเบกขาในการให้ทานอีกด้วย
ดังนั้น...ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องของการรักษาศีล ว่าการที่เราเอาใจจดจ่อ ระมัดระวังไม่ให้ศีลทุกสิกขาบทบกพร่องนั้น เป็นการสร้างสมาธิโดยอัตโนมัติ เพราะสภาพจิตจดจ่อระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ถ้าภาวนาต่อนิดเดียวก็สามารถทรงอัปปนาสมาธิได้เลย
ก็แปลว่า การที่เรารักษาศีลนั้น เป็นผลพลอยได้ให้เกิดสมาธิโดยอัตโนมัติ ก็เหลือแต่การใช้ปัญญาเท่านั้น ที่จะต้องมองให้เห็นว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนแบบไหน ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างไร แล้วพยายามถอนการยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้ในโลกนี้ออกไป ถ้าหากว่าถอนได้ไม่มาก ระยะทางการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารก็ยังสั้นลงอยู่ดี ถ้าหากว่าถอนได้ทั้งหมด ก็จบการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องมาทุกข์ยากเดือดร้อนอีก
ดังนั้น...วันนี้ที่บอกกล่าวพวกเรา ก็เพื่อให้เข้าใจว่า การให้ทานนั้น อานิสงส์ยังน้อยอยู่ ประมาณว่า ทำ ๑ ได้ ๑๐๐ อรรถกถาจารย์ท่านอธิบายว่าเป็นเพราะการให้ทาน สามารถให้ด้วยกายอย่างเดียวก็ได้ การรักษาศีล อานิสงส์ประมาณว่าทำ ๑ ได้ ๑๐,๐๐๐ เพราะว่าต้องรักษากาย วาจา ใจให้เรียบร้อย แต่การเจริญภาวนานั้น ทำ ๑ ได้ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เพราะว่าต้องทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ แต่ทั้ง ๓ อย่างก็ควรที่จะกระทำไปโดยพร้อมกัน หรือว่าพยายามทำให้ครบถ้วน
การให้ทานนั้น ถ้าเกิดใหม่ อานิสงส์จะช่วยให้เรามีทรัพย์สมบัติสมบูรณ์บริบูรณ์ การรักษาศีล ทำให้เราเกิดมามีรูปร่างหน้าตาสวยงาม มีอวัยวะครบถ้วน ไม่พิกลพิการ การเจริญภาวนา เกิดมาเราจะมีปัญญามาก ต่อให้มีปัญหาทางโลกก็แก้ไขได้ง่าย หรือมีปัญหาทางธรรม ก็สามารถที่จะแก้ไขได้ง่าย
จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องตระหนักและปฏิบัติให้ถูก ถึงจะสมกับที่เกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชน เกิดในประเทศที่ส่วนใหญ่แล้วนับถือศาสนาพุทธ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ถือว่าเสียชาติเกิด เหมือนหนูตกถังข้าวสารแต่ไม่รู้จักกิน แล้วก็หิวท้องกิ่ว รอเวลาให้แมวมาคาบเราไปกินแทน..!
จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-01-2022 เมื่อ 15:34
|